“เอื้อวิทยา” คาดกลับมามีกำไรในไตรมาส 4 ปีนี้ หลังเห็นแนวโน้มผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดดเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ฟันรายได้ครึ่งปีแรกแล้วกว่า 610.83 ล้านบาท พร้อมเตรียมเจรจาขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มคาดได้ข้อสรุปภายในเร็วๆ นี้
นายธีรชัย ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจและกิจการองค์กร บมจ.เอื้อวิทยา หรือ UWC กล่าวว่า บริษัทฯ มั่นใจผลประกอบการในปีนี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดเทียบกับปีก่อนหน้า หลังจากสรุปงบรายได้ครึ่งปีแรกกว่า 610.83 ล้านบาท ซึ่งมีรายได้เกือบเท่ากับปี 2558 ที่มีรายได้รวม 644.73 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการทั้งปีนี้จะกลับมามีกำไรสุทธิตั้งแต่ไตรมาส 4/2559 เป็นต้นไป หลังจากขาดทุนต่อเนื่องทั้งในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าชีวมวลในโครงการ UWC Komen Biomass ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ จ.นครราชสีมา เข้ามาเต็มปีในรูปแบบ Feed-in Tariff หรือ FiT ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้รวมปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 30% หรือคิดเป็นรายได้ที่จะได้จากโรงไฟฟ้าดังกล่าวประมาณ 270-280 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนโรงไฟฟ้าชีวมวล โครงการ UWC Amphan Biomass ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล สตึก หรือ Satuek Biomass ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ ในจังหวัดบุรีรัมย์ คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (COD) ได้ในไตรมาส 4/2559 และคาดว่าจะรับรู้รายได้รวมไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมในปีนี้อยู่ที่ 27 เมกะวัตต์
“บริษัทอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเข้าซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลอีกอย่างน้อยจำนวน 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์/แห่ง โดยคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายใน 2 เดือนนี้ ซึ่งโรงไฟฟ้า 1 ใน 2 แห่งจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาทันที เพราะได้มีการ COD ไปแล้ว ขณะที่อีกแห่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าน่าจะเริ่มรับรู้รายได้ช่วงกลางปีหน้า ซึ่งหลังจากนี้สัดส่วนรายได้ในบริษัทฯ จะมาจากธุรกิจพลังงาน 35% และเสาส่ง 65% ซึ่งปีก่อนธุรกิจพลังงานอยู่ที่ 5% และเสาส่ง 95%”
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าในปี 2560 ไว้ไม่ต่ำกว่า 185 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมทั้งหมด และการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และจะพิจารณาโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการผลิตแล้ว โดยวางงบการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 100-150 ล้านบาท/แห่ง ขณะหนี้สินต่อทุน (D/E) ในปัจจุบันนั้น อยู่ที่ 0.7 เท่า ขณะที่ธุรกิจเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage Transmission Tower) และเสาเทเลคอม (Telecom Tower) ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือเฉพาะงานเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง และสถานีย่อย (Substation) อยู่ที่ 263 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ขณะที่งานเสาส่งสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ คาดว่าจะมีงานออกมามากขึ้น ตามการลงทุนในเรื่องของ 4G ที่น่าจะมีออกมารองรับไปจนถึง 2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงของภาครัฐ มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งานเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง 14,000 ต้น และงานเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง 12,000 ต้น และเชื่อว่างานดังกล่าวจะทยอยออกมาอีกจำนวน 2 โครงการไปจนถึงสิ้นปี โดยบริษัทฯ มั่นใจว่า จะได้รับงานอย่างน้อย 25% ของมูลค่าที่เข้าประมูล