xs
xsm
sm
md
lg

“วินเซอร์” กางแผนรุกตลาดประตู-หน้าต่างไวนิล ดึงพันธมิตรผุด 10 สาขาแฟรนไชส์ เจาะจัดสรร-ขายปลีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สัมพันธ์ ลู่วีระพันธ์
-WINDSOR กางแผนรุกตลาดประตู-หน้าต่างไวนิล ดึงพันธมิตรขยายสาขากว่า 10 แห่ง หวังเจาะลูกโครงการ-รายย่อยทั่วประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,800 ล้านบาท

นายสัมพันธ์ ลู่วีระพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ในเครือซิเมนต์ไทย หรือ SCG ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายประตูหน้าต่างไวนิล ภายใต้แบรนด์ “WINDSOR” กล่าวว่า ปัจจุบัน ตลาดประตูหน้าต่างถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ด้วยปริมาณบ้านสร้างใหม่กว่า 4-5 แสนหลังต่อปี และยังมีตลาดบ้านเก่าอีกกว่า 20 ล้านหลัง ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 5-10% ของมูลค่าก่อสร้างโดยประมาณ

โดยมูลค่าตลาดรวมของประตูหน้าต่างรวมปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ประตูหน้าต่างไวนิลมีสัดส่วนเพียง 7-8% เท่านั้น ในส่วนของ WINDSOR เป็นผู้ผลิต และจำหน่ายประตูหน้าต่างไวนิลมากว่า 14 ปี และถือว่าเป็นผู้นำในตลาดประตู หน้าต่าง ประตูไวนิล มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดประมาณ 70% ของตลาดรวมไวนิลที่ปัจจุบันมีมูลค่า 2,800 ล้านบาท

สำหรับแนวทางในการบริหารงาน ยังคงมีเป้าหมายเดียวกับบริษัทแม่ คือ การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม และพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยปีนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้า รวมทั้งการขยายช่องทางในการกระจายสินค้าไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ผ่านทางพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อรองรับความต้องการในการติดตั้ง และบริการหลังขาย โดยปัจจุบัน ทางบริษัทมีพันธมิตร หรือแฟรนไชส์รวม 30 รายทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ตลาดประตูหน้าต่างไวนิลยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่น้อย ดังนั้น จึงเป็นโอกาส และเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทต้องสร้างความความแข็งแกร่งทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และเป็นผู้นำในตลาดประตูหน้าต่างไวนิล ซึ่งนอกจากการขยายพันธมิตรที่ตั้งเป้าถึงเดือนกรกฎาคมปีหน้า จะเพิ่มอีก 10 สาขาแล้ว ยังเตรียมออกโปรดักต์ใหม่สำหรับอาคารสูง รวมทั้งประตูหน้าต่างไวนิลแบบสี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีแรก ทางบริษัทมีรายได้กว่า 700 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว ที่ทำได้ประมาณ 900 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณบ้านสร้างใหม่ลดลง แต่ทางบริษัทยังคงเป้ารายได้ทั้งปีที่ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้ มองว่าดีมานต์ในตลาดยังดี และการรุกตลาดบ้านเก่าจะเสริมรายได้ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 10% แต่คาดว่าสัดส่วนรายได้ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 20-30% ซึ่งแต่ละปีบริษัทมีอัตราการเติบโตไม่ต้ำกว่า 10%

สำหรับผู้ที่สนใจต้องการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจนั้น จะต้องมีสถานที่ตั้งของโรงประกอบรวมคลังสินค้า เงินลงทุนตั้งต้น และเงินทุนหมุนเวียนตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และใช้เงินหมุนประมาณ 5 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ คาดว่าถึงสิ้นปีนี้น่าจะเปิดได้ 4-5 สาขา ซึ่งหากเปิดครบทั้ง 10 สาขา จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 400 ล้านบาท โดยปัจจุบันเป็นลูกค้าโครงการ 70% รายย่อย 30%

ส่วนในเรื่องการไปลงทุนในประเทศ AEC กำลังศึกษาตลาดอยู่ แต่คงรุกตลาดในประเทศให้แข็งแกร่งก่อน โดยจะเน้นพื้นที่ในจังหวัดภาคอีสาน, ภาคกรุงเทพฯ ตะวันตก และภาคเหนือตอนล่าง แต่ปัจจุบัน บริษัทได้มีการส่งออกในบางประเทศ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา บางส่วน ซึ่งรายได้ยังไม่มาก
 

กำลังโหลดความคิดเห็น