xs
xsm
sm
md
lg

สมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 2 เด็กสมบูรณ์ Balance ชีวิตได้อย่างลงตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“คุณพ่อสอนผมมาอย่างไรผมก็จะสอนลูกอย่างนั้น” สมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ผู้บริหารรุ่นที่ 2 ของหยั่นหว่อหยุ่น ยึดคำสอนของคุณพ่อต่อยอดธุรกิจ Balance ชีวิตได้อย่างลงตัว”ออกกำลังกาย-ทำงาน-สังสรรค์”ใช้คอนเสิร์ตเป็นกิจกรรมร่วมกันของครอบครัว แบ่งเวลาส่วนตัวมาขับรถกับเพื่อนๆในชมรมปอร์เช่แห่งประเทศไทย ฝึกสมาธิ ผ่อนคลาย ท่องเที่ยวไปตามธรรมชาติ

สมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น ทายาทรุ่นที่ 2 บริหารธุรกิจต่อจากครอบครัว เพื่อผลิตซีอิ๊วตราเด็กสมบูรณ์ออกวางตลาด โดยใช้เทคนิคการผลิตซีอิ๊วที่สืบทอด จากบรรพบุรุษและด้วยความพยายาม ก็ทำให้ผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์ได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ จนปัจจุบันได้มีผลิตภัณฑ์มากมายที่แตกไลน์ตามความต้องการของลูกค้า สมหวังเป็นทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูล เป็นลูกคนสุดท้องจากทั้งหมด 6 คน จบการศึกษาระดับอนุปริญญาจากประเทศอังกฤษ สาขาธุรกิจและการเงิน ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีและโท สาขาการตลาด จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

สมหวังเล่าให้ฟังถึงชีวิตในวัยเด็กว่า คุณพ่อ(วิเชียร ตั้งสมบัติวิสิทธิ์) เป็นคนทำงานหนักและพยายามสั่งสอนให้ลูกๆต้องทำงานช่วยเหลือธุรกิจของครอบครัวด้วย ซึ่งผมได้ทำงานมาตั้งแต่เด็กๆอายุ 6-7 ขวบก็ต้องทำงานแล้ว เพราะตอนนั้นยังเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ไม่มีลูกจ้างมากนัก รวมทั้งคุณพ่อต้องการที่จะให้ลูกๆได้เรียนรู้งานในทุกๆด้าน และในช่วงที่ไปศึกษาต่างประเทศคุณพ่อก็ให้เงินเฉพาะเรียนเท่านั้น ผมจึงต้องทำงานหารายได้ไปด้วยควบคู่กับการเรียน


ตอนอยู่เมืองนอกไม่มีเงินที่จะใช้จ่ายฟุ้มเฟือยเหมือนเด็กนักเรียนไทยทั่วๆไป ผมจึงต้องทำงานเพื่อหารายได้ ทำหมดทุกอย่าง ร้านอาหารไทย เป็นเด็กเสริฟ ล้างจาน ฯลฯ โดยเฉพาะงานที่โรงอาหารของโรงเรียน(Canteen) เป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ทำในตำแหน่งเด็กล้างจาน ซึ่งมีหน้าที่นำอาหารที่เหลือเททิ้ง เก็บช้อน แก้วน้ำ ต่างๆให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้ตกลงไปในขยะรวมกับเศษอาหาร เพราะจะทำให้เครื่องปั่นพัง ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมาก ทำจนชำนาญขยับขึ้นมาเป็นSupervisor ดูแลทุกอย่างรวมถึงต้องดูแลสอนงานเด็กใหม่ทั้งหมด

สิ่งที่ได้จากการทำงานแบบนี้คือ เรื่องการบริหารจัดการ ที่มีความแตกต่างกันมาก ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม การบริหารจัดการจากคนที่มาจากหลายวัฒนธรรม (Culture) เป็นสิ่งที่ยากระดับหนึ่ง โดยผมได้มีโอกาสเรียนทั้งอังกฤษและอเมริกา จึงมองเห็นถึงความแตกต่างและเข้าใจได้ง่าย อังกฤษเป็นไลฟ์สไตล์ที่มีความปลอดภัยสูง ความเสี่ยงน้อย ในขณะที่อเมริกา เราต้องพึงพาตัวเอง ดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะเป็นประเทศที่ใหญ่ คนก็มากมายจากที่ต่างๆ ชนชาติต่างๆกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้ใช้ชีวิตในต่างประเทศช่วงหนึ่ง

เรียนจบกลับมาเมืองไทยได้เข้ามาช่วยงานธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัว ต้องทำให้เต็มที่เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง รวมถึงการต่อยอดธุรกิจต่างๆให้มีมูลค่า ปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยตามความต้องการของลูกค้า โดยชีวิตส่วนใหญ่จันทร์-ศุกร์ก็ทำงาน เสาร์-อาทิตย์ มีเวลาเป็นส่วนตัวและครอบครัว โดยเฉพาะเวลาที่จะต้องให้กับลูกๆทั้ง 4 คน ลูกชาย 3 ลูกสาวคนเล็ก 1 ที่กำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น ที่ต้องหาเวลาที่ทำกิจกรรมกันได้ทั้งครอบครัว

การทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา หาโอกาสไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็เป็นกิจกรรมที่ครอบครัวเราทำเป็นประจำ ซึ่งถ้าเสาร์-อาทิตย์ ไม่ติดภาระกิจไปต่างประเทศจะถือว่าเป็นเวลาของครอบครัว ทานข้าวเย็นเย็นหาของอร่อยทานกันมีวันหยุดยาวหลายวันก็ออกต่างประเทศ ให้ลูกๆได้เปิดโลกกว้างเรียนรู้ประสบการณ์พบปะผู้คนต่างชาติต่างวัฒนธรรม

Balance ชีวิตอย่างไร

“ออกกำลังกาย-ทำงาน- สังสรรค์”คือBalanceชีวิตของผม อันดับหนึ่งผมจะให้ความสำคัญเรื่องของสุขภาพ เพราะถ้าสุขภาพดีไม่ใช่แค่เฉพาะกับตัวเอง แต่ทำเพื่อครอบครัวด้วย ยิ่งไปกว่านั้นผมเองเป็นผู้นำในองค์กร เราต้องนำพาคน 1,000 กว่าชีวิตที่หมายถึงคนอีก 3,000-4,000 ชีวิตที่รวมถึงครอบครัวของพนักงานด้วย ด้วยเวลาที่มีจำกัดผมจึงใช้เวลาช่วงเช้า 7-8 โมง จันทร์-ศุกร์เข้าฟิตเนสออกกำลังกาย แล้วกลับทานข้าวอาบน้ำทำงาน ทำแบบนี้มา 5-6 ปีแล้วมีผลดีต่อสุขภาพ ร่างกายแข็งแรง จิตใจดีมีความสุข ประสิทธิภาพการทำงานก็ดีตามไปด้วย ล่าสุดไปCheck upร่างกายทุกอย่างดีหมด***

นอกจากนี้ผมจะต้องหากิจกรรมที่ครอบครัวจะได้ทำร่วมกันได้และเป็นสิ่งที่ชอบกันทั้งครอบครัวคือ การดูคอนเสิร์ต เป็นกิจกรรมที่ครอบครัวเรามีความสุขกันมาก ผมกับภรรยาชอบดูคอนเสิร์ตกันนานแล้ว พอมีลูกก็จะพาลูกๆไปดูด้วย ดูได้ทุกแนวทุกคอนเสิร์ตที่ ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของลูก ถ้าไม่รู้จักก็จะให้ลูกโหลดเพลงแล้วส่งเข้ามาในไลน์ เพื่อศึกษาและร้องเพลงตามศิลปินไปด้วย ซึ่งบางเพลงนอกจากจะมีทำนองที่เพราะแล้วมีเนื้อหาที่ดีด้วย

อย่างคอนเสิร์ต” เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์”ครอบครัวเราจะดูกันทุกครั้งทุกปี เพราะมีความหลากหลาย แสง สีเสียง เทคโนโลยี่ใหม่ๆมาใช้ เป็นการได้ดูโชว์ที่มากกว่าคอนเสิร์ตปกติที่มีแต่การร้องเพลง อีกช่วงหนึ่งคือ ศิลปินรับเชิญ ผมมองว่าเป็นเสน่ห์ เซอร์ไพร์ มีอะไรที่น่าติดตาม ดูแล้วสนุกมีความสุขกันทั้งครอบครัว

เวลาส่วนตัวผมชอบการขับรถ ซึ่งโอกาสน้อยมากโดยชีวิตประจำวัน ด้วยเวลาที่จำกัด สภาพการจราจรในกรุงเทพ ตารางการทำงานที่แน่นมากในทุกๆวันจึงไม่มีโอกาสที่จะขับรถได้เองเลย บางครั้งต้องใช้เวลาที่เสียไปกับการจราจรนั่งทำงานในรถด้วย ดังนั้นเมื่อมีเวลาและโอกาสผมจะชื่นชอบการขับรถกับเพื่อนๆ โดยผมได้เป็นสมาชิก ชมรมปอร์เช่ ประเทศไทย เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่มีความรักและผู้ที่ใช้รถยนต์ปอร์เช่ในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันมีสมาชิกในชมรมหลายร้อยคัน การได้ไปขับรถกับเพื่อนๆ ชมธรรมชาติ ไปดูสถานที่ต่างๆ ถือว่าเป็นการท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่ง ขับรถออกต่างจังหวัดเป็นการฝึกสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่มีPerformance สูง

โดยกลุ่มเพื่อนๆที่นัดขับรถกันเฉลี่ยประมาณ 20-30 คัน ถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ หากไม่ได้นัดกันไปต่างจังหวัด ช่วงวันอาทิตย์ 10.00-12.00 น.จะขับรถในกรุงเทพมหานคร คริสตัล ปาร์ค CDCฯลฯ นั่งดื่มกาแฟคุยกันได้ทุกเรื่องส่วนใหญ่จะคุยเรื่องรถ เป็นการผ่อนคลายจากการทำงาน รวมทั้งมีความสุขได้คุยเรื่องสนุกกับเพื่อนๆ

ต้องบอกเลยว่าคนเราต้องมีการสังสรรค์เข้าสังคมได้พบปะผู้คนก็มีความสุขอีกแบบหนึ่ง เป็นการผ่อนคลายเวลาผมอยู่กับเพื่อนๆ มาสังสรรค์กันก็จะเต็มที่ ร้องเพลง เต้นรำ อะไรก็ได้ เพราะบางครั้งเราไม่สามารถทำกับทีมงานได้ในทุกโอกาส แต่เราทำกับเพื่อนๆได้อยู่กับเพื่อน เราได้ถอดหัวโขน ถอดบางสิ่งบางอย่างออกไป วางบางสิ่งบางอย่างลง แล้วก็กลับมาเป็นตัวของตัวเอง ผมมองว่าทำแบบนี้ก็Balanceชีวิตได้


วางเป้าหมายให้ลูกอย่างไร

ผมจะปล่อยให้ลูกๆได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตไปตามวัยเหมือนปกติกับเด็กทั่วๆไป จะไม่บังคับหรือวางเป้าหมายให้ โดยต้องการที่จะให้ลูกได้เรียนหลักสูตรปกติของกระทรวงศึกษาในประเทศไทย จนจบปริญญาตรี แล้วจึงค่อยส่งลูกไปเรียนต่อยังต่างประเทศ ตอนนี้ลูกคนโตเรียนวิศวะ ระดับปริญญาตรี คนรองม.6 ม.4 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ส่วนคนเล็ก ม.3 โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนด์ เป็นการเรียนภาคปกติไม่ใช่อินเตอร์

ผมมองว่าเราเป็นคนไทย มีวัฒนธรรม สังคมไทย มีความงดงามอยู่แล้ว ลองนึกดูเล่นๆถ้าลูกไปเรียนต่างประเทศแล้วกลับมานั่งเอาเท้าพาดโต๊ะคุยกับพ่อแม่ เราจะรับได้หรือไม่? ที่สำคัญคนเราจำเป็นที่จะต้องมีเพื่อน ผมไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็กได้ภาษากลับมา แต่ทุกวันนี้เพื่อนที่ผมมีแค่เพื่อระดับมัธยมปลายเท่านั้น ซึ่งทั้งผมและภรรยาต่างเห็นด้วยกับการให้ลูกๆได้เติบโตภายใต้สิ่งแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรมไทยก่อนค่อยส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจของครอบครัวนั้น พยายามที่จะให้ลูกๆเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจ เหมือนกับที่คุณพ่อผมได้ฝึกผมให้ทำงานตั้งแต่เด็กๆ** “พ่อผมสอนมาอย่างไรผมก็จะสอนลูกอย่างนั้น”**โดยอยากให้ลูกๆได้เข้ามาเรียนรู้ระบบงานทั้งหมด เริ่มจากช่วงปิดเทอมลูกชายทั้ง 3 คนจะให้เข้ามาทำงานไม่ให้อยู่ในออฟฟิต ให้ทำงานอยู่ในคลังสินค้าด้านหลัง ดูสต๊อกสินค้า เช็คของ ปล่อยของ ขึ้นสินค้า ฯลฯ พอเริ่มโตขึ้นอยู่ระดับชั้น ม.2-ม.3 ก็ให้ออกไปส่งของด้วย โดยติดรถส่งสินค้าออกไปเป็นเด็กส่งของ

เพื่อให้เรียนรู้ระบบงานทั้งหมด รวมทั้งจะได้ทราบว่าลูกค้าของเราอยู่ที่ไหน การยกของ ส่งของต้องเหนื่อยและลำบากแค่ไหน ซึ่งลูกผมทำหมดทุกอย่างเหมือนกับเด็กส่งของ ซึ่งก็เป็นวิธีที่คุณพ่อผมสอนมา ด้วยความที่เป็นเด็ก ก็อาจจะมีบ่นให้ฟังบ้าง แต่นี้คือชีวิต ส่วนลูกสาว 1 คนก็ให้เข้ามาฝึกงานด้วยการขายของที่ช๊อปสินค้า ช่วยงานมาร์เกตติ้งบ้างหรือช่วยบัญชีบ้างตามโอกาส

ผมไปต่างประเทศ ไปออกบูทหรือไปหาลูกค้า จะมีทีมงานไปล่วงหน้า ส่วนผมจะตามไปที่หลัง ก็จะวางแผนให้ลูกๆเดินทางไปกับทีมในวันแรกเลย ล่าสุดลูกคนโตได้เดินสายเยี่ยมลูกค้าแถบอเมริกาประมาณ 14 วัน ลูกต้องทำทุกอย่างเหมือนทีมงาน นับเป็นหนึ่งในลูกทีมที่สามารถใช้ทำงานได้ ปฏิบัติเหมือนกันทั้งหมด

ช่วงแรกๆลูกคงไม่ชอบ เพราะตามนิสัยเด็กก็ไม่อยากทำงาน เหนื่อย แต่หลังๆจะสนุก ทำงานกลับมาบ้านได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำได้จะเป็นผลดีกับลูกๆเอง ต้องให้ลูกเรียนรู้มีส่วนร่วมตั้งแต่เด็กๆ ค่อยๆปลูกฝังให้ลูกซึมซับความรู้สึกที่ว่าเราไม่ได้ห่างกัน ใกล้ชิตกับธุรกิจครอบครัวตลอดเวลา

ตอนนี้ทุกคนอยากจะมาช่วยงานของครอบครัว แต่ผมมองไปแล้วว่า เมื่อเรียนจบยังไม่ให้เข้ามาทำงานที่บริษัท จะให้ทำงานข้างนอกก่อน ให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิตก่อน จบอะไรมาไปทำงานตามสายงานที่จบมาก่อน 3-5 ปี เพราะตอนนี้ผมอายุ 40 กว่าผมรอได้ ให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิต เข้าใจถึงการทำงานที่แท้จริงก่อน เพราะวันนี้ถ้าให้ลูกเข้ามาทำงานธุรกิจของครอบครัวเลย ผมก็ได้จะลูกเทพเข้ามาในบริษัททันที จะไม่ได้ประโยชน์ทั้งตัวลูกเองและองค์กร เพราะจะทำให้มีแต่คนเกรง ชีวิตต้องเรียนรู้ว่าอะไรคือ ชีวิตจริง ซึ่งจะทำให้เป็นความสำเร็จที่ยั่งยืนและถาวร
กำลังโหลดความคิดเห็น