xs
xsm
sm
md
lg

“พี/อี เรโชหุ้นแพงแล้ว” ชุมชนคนหุ้น By ... สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อัตราส่วนราคาหุ้นต่อผลกำไรหุ้น หรือค่าพี/อี เรโช เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมตามหลักปัจจัยพื้นฐาน หุ้นที่มีค่าพี/อี เรโชต่ำ อยู่ในข่ายหุ้นราคาถูก น่าสนใจลง แต่ถ้าค่าพี/อี เรโชสูง ถูกจัดเป็นหุ้นแพง และไม่น่าสนใจ เว้นแต่จะเป็นหุ้นที่มีอนาคตการเติบโตสูง

ค่าพี/อี เรโช ถูกใช้วัดความร้อนแรงของตลาดหุ้นด้วยเหมือนกัน โดยยามที่ค่าพี/อี เรโชเฉลี่ยของตลาดหุ้นต่ำถือว่าบรรยากาศการลงทุนซบเซา ยามใดที่ค่าพี/อี เรโชเฉลี่ยของตลาดหุ้นสูง ถือว่าช่วงนั้นตลาดมีความร้อนแรง ส่วนช่วงนี้คงไม่ต้องถามว่าบรรยากาศการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีความร้อนแรงหรือไม่ ถ้าจะถามต้องถามว่าตลาดหุ้นร้อนแรงมากเกินไปหรือเปล่า

หน่วยในการคำนวณค่าพี/อี เรโช นับกันเป็นเท่า โดยมักจะใช้ค่าพี/อี เรโชประมาณ 10 เท่าเป็นเกณฑ์ หุ้นที่มีค่าพี/อี ต่ำกว่า 10 เท่า จะถือเป็นหุ้นถูก หุ้นที่ค่าพี/อี เกิน 10 เท่า จะอยู่ในข่ายหุ้นแพง ซึ่งจะต้องพิจารณาแนวโน้มอัตราการเติบโตของผลดำเนินงานหุ้นแต่ละตัวเป็นองค์ประกอบ เพราะหุ้นที่มีค่าพี/อีต่ำ แต่ถ้าแนวโน้มผลดำเนินงานชะลอตัว หรือธุรกิจมีแนวโน้มทรุด ผลประกอบการตกต่ำก็อาจเป็นหุ้นแพง เช่นเดียวกันหุ้นที่มีค่าพี/อีสูง ถ้าแนวโน้มผลประกอบการเติบโตสูงก็อาจเป็นหุ้นราคาถูกได้

ค่าพี/อี เรโชเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ล่าสุดสูงกว่า 23 เท่า สะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนที่ร้อนแรง และถือเป็นตลาดหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์แพง แพงเพราะนักลงทุนต่างชาติขนเงินกลับเข้ามาลุยซื้อ พี/อี เฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ช่วงที่บรรยากาศการลงทุนซบเซาเคยลงไปต่ำกว่า 10 เท่า แต่ในช่วงที่ร้อนสุดขีดเคยพุ่งขึ้นไปถึง 38 เท่า โดยเกิดขึ้นประมาณกลางปี 2532

ส่วนหุ้นรายตัวเคยมีหุ้นที่ค่าพี/อี เรโชเหลือเพียงไม่กี่เท่า แต่หุ้นบางตัวเคยมีค่าพี/อี เรโชสูงกว่า 1 พันเท่า ซึ่งมักจะเป็นหุ้นปั่น ถ้าดูเฉพาะค่าพี/อี เฉลี่ยต้องถือว่าตลาดหุ้นไทยแพงไปแล้ว จึงต้องพิจารณาถึงแนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดว่าจะเติบโตสูงหรือไม่ เพราะหากเติบโตสูง ค่าพี/อีจะมีแนวโน้มลดลงเหมือนหุ้นรายตัวทั่วไปที่ค่าพี/อี เรโชสูงๆ

หุ้นที่ค่าพี/อีสูงๆ เกิดจากการซื้ออนาคต โดยนักลงทุนอาจมองว่าผลกำไรของหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มเติบโตสูง หรือถึงขั้นเติบโตก้าวกระโดดจึงเข้าไปซื้อดักเก็งกำไร แม้ราคาจะแพงหูฉี่ก็ตาม

หุ้นแพงๆ ที่แห่เข้าไปซื้ออนาคตนั้นบางตัวอนาคตอาจสดใสจริง กำไรเติบโตสูงตามที่คาดการณ์ไว้ แต่บางตัวก็ไม่ใช่ บางตัวก็เป็นเพียงการ “แหกตา” วาดภาพอนาคตสดใสเพื่อหลอกตุ๋นนักลงทุนเท่านั้น ใครหลงเข้าไปเล่นมีโอกาสเจ็บตัวออกมา

สำหรับผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดเอ็มเอไอไตรมาสแรกปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2.35 แสนล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกปีก่อน 0.26% ส่วนไตรมาสที่ 2 รอลุ้นกันอีกประมาณ 2 สัปดาห์จะสรุปตัวเลขแต่มีการคาดหวังว่า ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ ท2 น่าจะดีขึ้น และครึ่งปีหลังน่าจะยิ่งดีขึ้นกว่างวดครึ่งปีแรก

ค่าพี/อีเฉลี่ยให้ของตลาดหุ้นที่สูง แต่ถูกสร้างภาพให้ดูเหมือนว่ายังไม่แพงเกินไป โดยการคาดหมายว่า แนวโน้มอัตราการเติบโตผลกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งถ้าจริงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นการคาดการณ์มั่วๆ วิเคราะห์กันด้วยทัศนะของคนมองโลกสวย และ “มโน” มากเกินจริง จะเป็นการส่งสัญญาณผิดๆ ให้นักลงทุนจนสร้างความเสียหายให้นักลงทุนที่แห่ตามฝรั่งเข้าไปไล่ซื้อหุ้นได้ และเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าหากเป็นร้อน เป็นเงินที่เข้าแสวงหากำไรระยะสั้น เข้าเร็วและออกเร็ว ตลาดหุ้นอาจเสี่ยงต่อความผันผวนรุนแรงที่จะตามมา ถ้าฝรั่ง “ทุบหุ้น”

ตลาดหุ้นระยะสั้นอยู่ในกำมือต่างชาติที่จะชี้นำ จึงต้องเกาะติความเคลื่อนไหวของต่างชาติ แต่แนวโน้มตล่าดหุ้นระยะยาวยังต้องติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ถ้ากำไรไม่เติบโตจริงตามที่กลุ่มคนมองโลกสวยประเมินไว้ วัดจากค่าพี/อี เรโชเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ ราคาหุ้นโดยรวมจัดว่าแพงแล้ว

สุนันท์ ศรีจันทรา
กำลังโหลดความคิดเห็น