xs
xsm
sm
md
lg

เผยการเข้าลงทุนของต่างชาติจะสลับกลุ่มเล่นอยู่ตลอดเวลา แนะจับตาตัวเลขจีดีพีสภาพัฒน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


KTBST มองแนวโน้ม SET สัปดาห์นี้ เงินทุนไหลเข้ายังหนุน แต่อาจแผ่วช่วงปลายสัปดาห์ก่อนลงประชามติ 7 ส.ค. ระบุการเข้าลงทุนของต่างชาติจะสลับกลุ่มเล่นอยู่ตลอดเวลา แนะถ้าจะเก็งกำไรให้เน้นแบบสั้นๆ และเล่นหุ้นกลุ่มหลักๆ ซึ่งกลุ่มที่เด่น จับตา สภาพัฒน์ฯ จะรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งคาดว่าจะออกมาดี

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยังมีทิศทางเป็นบวก เนื่องจากทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีปัจจัยลบเข้ามาจากเรื่องผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และตัวเลข GDP ไตรมาส 2/59 ของสหรัฐฯ ที่ออกมาอยู่ที่ 1.2% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ 2.5-2.6%

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่มีโอกาสบวกได้หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงต่อเนื่องก็ยังเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น รวมทั้งการเข้ามาเก็งกำไรผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 และปัจจัยบวกจากเงินทุนไหลเข้า (Fund Flow) ของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด เรายังมองว่า เงินยังไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง แต่อาจชะลอตัวลงก่อนการลงประชามติ

ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงอาจแรงช่วงต้นสัปดาห์ และแผ่วปลายสัปดาห์ จึงแนะให้ขายทำกำไรในจังหวะที่หุ้นกำลังไต่ระดับขึ้น แต่สำหรับนักเก็งกำไรการเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศจะสลับกลุ่มเล่นอยู่ตลอดเวลา จึงแนะนำให้เน้นแบบสั้นๆ เล่นหุ้นกลุ่มหลักๆ ซึ่งกลุ่มที่เด่นสัปดาห์นี้จะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มผู้ประกอบการโทรศัพท์ กลุ่มรับเหมาฯ และกลุ่ม Domestic Play ที่มีฐานรายได้ในเขตภูมิภาค

ทั้งนี้ KTBST มองหุ้นที่น่าน่าลงทุนในสัปดาห์นี้ ได้แก่ BBL, KBANK, KKP, ADVANC ซึ่งได้ประโยชน์จากเงินไหลเข้าหุ้นกลุ่มรับเหมา STEC, MC และหุ้นที่ปรับตัวลงมามากอย่าง AUCT, ORI

ทั้งนี้ มองแนวโน้มดัชนีในสัปดาห์นี้ที่ระดับดัชนี 1,521 จุด เป็นจุดที่เฝ้าระวังหากต่ำกว่านี้เป็นการปรับฐาน แต่หากเดินหน้าต่อไปได้ ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,530-1,550 จุด

ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ การประกาศตัวเลข PMI และ ISM ของสหรัฐฯ-อียู-จีน ในช่วงต้นสัปดาห์ หากออกมาดีจะเป็นบวกต่อตลาด ขณะที่การประชุมธนาคารกลางอังกฤษในวันพฤหัส (4 ส.ค) หากมีการปรับเพิ่มวงเงิน QE จากเดิม 3.75 แสนล้านปอนด์ ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาด ส่วนตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ มีน้ำหนักต่อตลาดน้อยลงหลัง GDP ออกมาต่ำกว่าคาด

ส่วนราคาน้ำมันดิบได้อานิสงส์จากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า แม้ความกังวลต่อภาวะ oversupply ยังมีอยู่ จากการผลิตของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นจากการใช้แท่นผลิตน้ำมัน (Rig Count) ที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน และการผลิตของกลุ่ม OPEC ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย อาจหนุนราคาหุ้นผลิตโรงกลั่นน้ำมันให้กระเตื้องขึ้น ดังนั้น จากปัจจัยดังกล่าว ตลาดหุ้นไทยจึงไม่ต้องมากังวลกับตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงนี้

ส่วนปัจจัยในประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ จะรายงานตัวเลข GDP ในวันที่ 15 ส.ค.โดยไตรมาสแรก GDP ขยายตัวอยู่ที่ 3.2% และคาดการณ์ว่า ไตรมาส 2 จะออกมาดีจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการใช้จ่ายภาคเอกชนที่สูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งมาจากรายได้ของเกษตรกรที่สูงขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นที่มีฐานรายได้ในเขตภูมิภาค จึงมองว่ารูปแบบของ SET Index เดือน ก.ค.-ส.ค.ยังน่าจะมีลักษณะที่คล้ายกัน คือ มีพักฐาน และเดินหน้าต่อ
กำลังโหลดความคิดเห็น