ไม่กี่เดือนก่อน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ประกาศมาตรการ แก้ปัญหาหุ้นราคาต่ำๆ พาร์ หรือมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ต่ำ โดยจะกำหนดเพิ่มพาร์ เพื่อให้การซื้อขายหุ้นเป็นไปตามกลไกตลาดอย่างสมบูรณ์ขึ้น
หุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์เพ่งเล็งไว้เป็นกลุ่มหุ้นที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 1 บาท หรือหุ้นตัวจิ๋ว ซึ่งเป็นหุ้นที่สมบุกสมบัน ถูกการใช้งานจาก “ขาใหญ่” มาหลายรอบ ปั่นกันแล้วปั่นกันอีกจนมีสภาพไม่แตกต่างจากหุ้นผีตายซาก แต่แผนการการรวมหุ้น เพิ่มพาร์ เพื่อให้ราคาซื้อขายบนกระดานอยู่ในสภาพเป็นผู้เป็นคนเหมือนหุ้นส่วนใหญ่โดยทั่วไปก็เงียบหาย โดยไม่รู้ว่าผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์คนใดที่รับผิดชอบ “ดอง” เรื่องไว้ที่ไหน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนชื่อดังเคยแสดงทัศนะอยู่หลายครั้งเกี่ยวกับหุ้นตัวกระจิ๋ว ราคาซื้อขายไม่กี่สตางค์ โดยควรกำหนดให้รวมหุ้นเพื่อให้การซื้อขายเป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้น เพราะหุ้นราคาไม่กี่สตางค์ การเคลื่อนไหวไม่ว่าจะขึ้น หรือลงแต่ละช่วง อัตราส่วนของราคาจะสูงมาก และสูงกว่าเพดานขึ้นลง 30% เสียอีก จึงไม่ใช่หุ้นที่จะลงทุนแล้ว และไม่ใช่การเก็งกำไรโดยปกติ แต่เป็นการวัดดวงได้เสียในรูปแบบการพนันเต็มตัว
หุ้นที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 1 บาท ปัจจุบันมีจำนวนนับสิบตัว แต่หุ้นที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 สตางค์มีเพียง 2 ตัว คือ หุ้นบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อ “U” และหุ้นบริษัท อินเตอร์แนชั่นแนลเอนจีเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อ “IEC”
“U” เปลี่ยนชื่อมาจากบริษัท แนเชอรัลปาร์ค จำกัด หรือ “เอ็น-ปาร์ค” ซึ่งเป็นหุ้นที่มีประวัติโชกโชน เปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ ปรับฐานะทางการเงินมาแล้วหลายรอบ มีพฤติกรรมปั่นนับครั้งไม่ถ้วน จนราคาเคยหล่นตุบเหลือเพียง 1 สตางค์อยู่พักใหญ่ ก่อนที่กลุ่ม นายคีรี กาญจนพาสน์ จะเข้ามาถือหุ้นใหญ่
ส่วน “ไออีซี” มีประวัติไม่น้อยหน้าไปกว่าหุ้น “ยู” เคยรูดลงไป 1 สตางค์อยู่พักใหญ่ด้วยกัน โดยล่าสุด กลุ่มนายภูษณ ปรีย์มาโนช เข้ามาควบคุมการบริหาร
“U” และ “IEC” มีต้นกำเนิดแตกต่างกัน เป็นหุ้นคนละกลุ่มกัน ผู้ถือหุ้นใหญ่แต่ละยุคไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกัน แต่พฤติกรรมหุ้นเหมือนกันอย่างกับ ”แกะ” จนแทบจะเป็นหุ้นคู่แฝดนรกแตกมาตลอด
“IEC” มีทุนจดทะเบียนมโหฬารกว่า 2 แสนล้านหุ้น แต่ “U” หนักกว่า ทุนจดทะเบียน จำนวน 5.6 แสนล้านหุ้น ใครจะลากราคาคงเหนื่อยหน่อย เพราะจำนวนหุ้นมากมายเหลือเกิน แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเข้าไปเสี่ยงดวงกับหุ้น 2 ตัวนี้อยู่ ผลดำเนินงานของทั้ง 2 บริษัท ย่ำแย่พอกัน คำนวณค่าพี/อี เรโชไม่ได้เพราะขาดทุน ส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผลเลิกคิด ต้องหวังจากส่วนต่างราคาหุ้นอย่างเดียวแต่ราคาหุ้นก็แทบจะติดดินอยู่
IEC มีนักลงทุนรายย่อยตกค้างอยู่ประมาณ 26,000 ราย ส่วน “U” มีรายย่อยติดไว้อยู่ประมาณ 32,000 ราย โดยรายย่อยที่ยังถือหุ้นทั้ง 2 ตัวนี้อยู่ น่าจะขาดทุนโดยถ้วนหน้า เพราะคนที่มีกำไร น่าจะเผ่นออกไปหมดแล้ว
นักลงทุนรายย่อยจำนวนกว่า 50,000 ราย ที่ถือหุ้น 2 ตัวนี้ไว้ มีอนาคตให้รอคอยหรือไม่ คงต้องตอบว่ามีแต่ไม่มีใครบอกได้ว่า เมื่อไหร่ เพราะแม้จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่เข้ามา แต่อาการยังไม่ดีขึ้น ผลประกอบการยังไม่ฟื้นยังมีนัย ขณะที่ราคาหุ้นเคยถูกกระชากขึ้นไปเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน จากที่นอน “แอ้งแม้ง” อยู่ที่ 1 สตางค์ หุ้น U ถูกลากขึ้นไปเกือบ 30 สตางค์ ส่วน IEC ถูกกลากขึ้นไปเกือบ 10 สตางค์ มีคนร่ำรวยในพริบตา แต่รายย่อยตายเป็นเบือ หลังปล่อยข่าว ก่อกองไฟล่อแมลงเม่าสำเร็จ หุ้นก็ร่วงผลอย
ล่าสุด “IEC” เคลื่อนไหวอยู่ที่ราคา 2-3 สตางค์มาพักใหญ่แล้ว ส่วน“U” เคลื่อนไหวระหว่าง 2-4 สตางค์มาหลายเดือนแล้ว 3 ปัญหาของหุ้น “IEC” และ“U” ก็คือ การซื้อขายแต่ละวันเป็นไปอย่างผิดธรรมชาติ และนักลงทุนที่เข้าไปซื้อขาย ไม่น่าจะเป็นนักลงทุนที่หวังเก็งกำไรตามปกติ แต่เข้าข่ายเป็นนักพนันเต็มตัว เพราะการเข้าไปซื้อขายหุ้น 2 ตัวนี้ อาจทำให้หมดตัวได้เพียงช่วงข้ามวัน การขึ้นลงของหุ้น“IEC” และ“U” แต่ละช่วง หรือช่วงละ 1 สตางค์ ราคาจะเกินกว่าเพดาน 30% โดยเฉพาะช่วงที่ราคาติดดินอยู่ที่ 1 สตางค์ การขยับขึ้นเพียง 1 ช่วงราคา เท่ากับการขยับขึ้น 100% เมื่อขึ้นไปยืนที่ 2 สตางค์ ถ้าราคาหล่นมา 1 ช่วงราคา เท่ากับลดลง 50%
ดังนั้น คนที่เข้าไปเล่นหุ้นทั้ง 2 ตัวนี้ ไม่ว่าวันก่อน หรือวันนี้ มีโอกาสหมดตัวภายในข้ามคืน และหมดเนื้อหมดตัวจากหุ้น 2 ตัวนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน นักลงทุนที่ยังเข้าไปซื้อขายหุ้นทั้ง 2 ตัวนี้ จึงไม่ใช่นักลงทุนธรรมดา ไม่ใช่นักลงทุนประเภทที่กล้าบ้าบิ่น ก็คงจะเป็นกลุ่มนักลงทุน “ขาใหญ่” แต่ถ้ารายย่อยที่หลงเข้าไป ก็อาจ “เสร็จ” ถูกนับเป็นเหยื่อรายใหม่ที่ติดยอดดอยร่วมชะตากรรมกับรายย่อยอีกกว่า 5 หมื่นราย
ไม่รู้ว่าตลาดหลักทรัพย์ทนดูการซื้อขายที่ไม่ปกติของหุ้น “IEC” และ “U” ได้อย่างไร ปล่อยให้หุ้น 2 ตัวนี้ ประจานความหย่อนยานการทำงานของตลาดหลักทรัพย์มาหลายปีได้อย่างไร ไม่รู้สึกรู้สาบ้างหรือว่า เพราะหุ้น 2 ตัวนี้ จึงทำให้ตลาดหุ้นลบล้างภาพบักษณ์การเป็นบ่อนพนันไม่ได้เสียที ทำไมไม่รีบจัดการแก้ปัญหา ปรับพาร์“IEC” และ“U” ให้เป็นผู้เป็นคนเสียที ดูการซื้อขายแต่ละวัน ไม่ทุเรศนัยน์ตาบ้างหรือไง
สุนันท์ ศรีจันทรา