EIC SCB เผยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook Update) ในเดือนกรกฎาคม 2016 ซึ่งมีการปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2016 และ 2017 ลงเป็น 3.1% และ 3.4% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ระดับ 3.2% และ 3.5% ตามลำดับ โดยเป็นการปรับลดประมาณการจากผลกระทบของ Brexit ที่ทำให้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเมืองสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการที่ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก มอง Brexit เป็นความเสี่ยงที่สำคัญ IMF มองว่าผลกระทบของ Brexit นั้นมีอยู่มากพอควรใน UK โดยเฉพาะปี 2560 ที่ IMF ได้ปรับลดประมาณการลงเหลือ 1.3% จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ 2.2% ส่วนยูโรโซนนั้นได้ปรับลดประมาณการในปี 2017 เป็น 1.4% จากเดิม 1.6% แม้ว่า UK จะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว แต่ Brexit จะยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มความกังวล และความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน และผู้บริโภคต่อเนื่องไปในอนาคต ซึ่งตัวเลขการคาดการณ์ของ IMF นี้เป็นเพียงการประมาณการจากสถานการณ์ขั้นพื้นฐานที่มองว่าการเจรจาต่างๆ จะเป็นไปได้ด้วยดี นอกเหนือไปจากนี้ IMF ยังมองว่า หากสถานการณ์แย่ลงมากกว่าที่คาดอาจจะทำให้เศรษฐกิจ UK หดตัวอย่างรุนแรง และส่งผลต่อเนื่องไปยัง EU รวมถึงตลาดการเงินทั่วโลก โดยรวมแล้วปัญหาต่อเนื่องในภาคธนาคารที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และความเสี่ยงจาก Brexit จะยังคงเป็นภัยคุกคามต่อภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปต่อไป
ทั้งนี้ IMF มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นปลอดภัยจาก Brexit ในสถานการณ์ประมาณการขั้นพื้นฐาน IMF เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบในวงแคบ โดยภาวะเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญมากกว่า แต่ทั้ง 2 ประเทศยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงของ Brexit ที่ยังคงมีอยู่
นอกจากนี้ IMF เชื่อภาพรวมระยะสั้นของอินเดีย อาเซียน และจีนยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่า Brexit จะส่งผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียจะยังคงเติบโตได้ดี IMF จึงไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนประมาณการเศรษฐกิจมากนัก โดยปรับประมาณการเศรษฐกิจอินเดียในปีนี้ลดลงจาก 7.5% เป็น 7.4% จากการชะลอตัวของการฟื้นตัวในภาคการลงทุน ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียนคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 4.8% ส่วนเศรษฐกิจจีนในปีนี้มีการปรับขึ้นเล็กน้อยจาก 6.5% เป็น 6.6% จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ และการเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ ผลกระทบโดยตรงจาก Brexit มีอยู่อย่างจำกัด เนื่องจากความเกี่ยวเนื่องทางการค้า และการเงินต่อ UK มีอยู่ในระดับที่ต่ำ รวมถึงความพร้อมของภาครัฐที่จะเข้าช่วยเหลือเศรษฐกิจให้อยู่ในเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม หากกลุ่ม EU ได้รับผลกระทบจาก Brexit อย่างมีนัยสำคัญก็จะทำให้เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อีไอซีมองว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจาก Brexit การลงทุนจากภาครัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ดี ขณะที่ความเกี่ยวเนื่องทางการค้าการลงทุนระหว่างไทย และ UK ที่มีจำกัด ทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ความกังวลที่มาจากความไม่แน่นอน และความเสี่ยงจาก Brexit จะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับแนวโน้มการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
ขณะที่การเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียที่ยังสูง และโดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ เช่น อาเซียนและอินเดีย รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงเป็นสองปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้เงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยส่งเสริมจากการที่ธนาคารกลางของอังกฤษ (BOE) และญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วๆ นี้อีกด้วย
ดังนั้น อีไอซีคาดว่าแนวโน้มการไหลเข้าของเงินทุนมายังเอเชียจะยังคงมีอยู่ต่อไปจนกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้