เคทีซี แจ้งกำไรครึ่งปีแรก 1.2 พันล้าน เติบโต 17% จากรายได้ที่เติบโตทั้งบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ขณะที่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านเอ็นพีแอล รวมอยู่ที่ 1.91% จาก 2.21% เป็นส่วนของบัตรเครดิต ลดลงเหลือ 1.37% จาก 1.42% แต่สินเชื่อบุคคล เพิ่มขึ้นเป็น 1.04% จาก 1.02%
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 115 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24% ขณะที่งวดครึ่งแรกปี 2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 176 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17% โดยรายได้รวมครึ่งปีเท่ากับ 8,437 ล้านบาท เติบโตจากรายได้ดอกเบี้ยของบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลที่ 8% และ 16% ตามลำดับ รวมถึงหนี้สูญได้รับคืนเพิ่มขึ้นที่ 20% รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เพิ่ม 12% ขณะที่บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายทางการเงินได้อย่างดี โดยมีอัตราลดลงที่ 10%
ส่วนปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทห้าเดือนเติบโตสูงกว่าอัตราเติบโตของอุตสาหกรรม โดยเติบโตที่ 15.9% เพิ่มขึ้นสูงกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตเพียง 8.5% และในไตรมาสสองปี 2559 บริษัทมีอัตราเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 15.4% ขณะที่พอร์ตรวมลูกหนี้เติบโต 12% (YoY) ไตรมาสสองของบริษัทมีลูกหนี้รวม 61,282 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตรวมจำนวน 41,102 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10%) และลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวมจำนวน 19,597 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17%) เมื่อหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม และมีฐานสมาชิกขยายตัว 6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 2.8 ล้านบัญชี เป็นบัตรเครดิต 1,988,842 บัตร (ขยายตัว 5%) โดยในไตรมาสสองนี้มีการปิดบัตรเครดิตที่ไม่ใช้งานจำนวนหนึ่งด้วย และสินเชื่อบุคคล จำนวน 784,395 บัญชี (ขยายตัว 10%)
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง บริษัทให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพหนี้อย่างต่อเนื่อง บริษัทยังคงมี NPL รวมอยู่ที่ 1.91% ลดลงหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนที่อยู่ที่ 2.21% โดย NPL ของบัตรเครดิตลดลงจาก 1.42% เหลือ 1.37% และ NPL ของสินเชื่อบุคคล เพิ่มขึ้นจาก 1.02% เป็น 1.04%
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกนี้บริษัทมีการขยายตัวในพอร์ตรวม โดยใช้งบประมาณด้านการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต่ำกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากต้นทุนเงินที่ต่ำลง รวมถึงการควบคุมคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นผลให้ผลประกอบการของบริษัทสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ บริษัทจึงคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ผลดำเนินงานของปีนี้จะดีกว่าที่เคยประมาณการไว้เดิม
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 115 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24% ขณะที่งวดครึ่งแรกปี 2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 176 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17% โดยรายได้รวมครึ่งปีเท่ากับ 8,437 ล้านบาท เติบโตจากรายได้ดอกเบี้ยของบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลที่ 8% และ 16% ตามลำดับ รวมถึงหนี้สูญได้รับคืนเพิ่มขึ้นที่ 20% รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เพิ่ม 12% ขณะที่บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายทางการเงินได้อย่างดี โดยมีอัตราลดลงที่ 10%
ส่วนปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทห้าเดือนเติบโตสูงกว่าอัตราเติบโตของอุตสาหกรรม โดยเติบโตที่ 15.9% เพิ่มขึ้นสูงกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตเพียง 8.5% และในไตรมาสสองปี 2559 บริษัทมีอัตราเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 15.4% ขณะที่พอร์ตรวมลูกหนี้เติบโต 12% (YoY) ไตรมาสสองของบริษัทมีลูกหนี้รวม 61,282 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตรวมจำนวน 41,102 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10%) และลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวมจำนวน 19,597 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17%) เมื่อหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม และมีฐานสมาชิกขยายตัว 6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 2.8 ล้านบัญชี เป็นบัตรเครดิต 1,988,842 บัตร (ขยายตัว 5%) โดยในไตรมาสสองนี้มีการปิดบัตรเครดิตที่ไม่ใช้งานจำนวนหนึ่งด้วย และสินเชื่อบุคคล จำนวน 784,395 บัญชี (ขยายตัว 10%)
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง บริษัทให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพหนี้อย่างต่อเนื่อง บริษัทยังคงมี NPL รวมอยู่ที่ 1.91% ลดลงหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนที่อยู่ที่ 2.21% โดย NPL ของบัตรเครดิตลดลงจาก 1.42% เหลือ 1.37% และ NPL ของสินเชื่อบุคคล เพิ่มขึ้นจาก 1.02% เป็น 1.04%
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกนี้บริษัทมีการขยายตัวในพอร์ตรวม โดยใช้งบประมาณด้านการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต่ำกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากต้นทุนเงินที่ต่ำลง รวมถึงการควบคุมคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นผลให้ผลประกอบการของบริษัทสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ บริษัทจึงคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ผลดำเนินงานของปีนี้จะดีกว่าที่เคยประมาณการไว้เดิม