บล.เอเชียเวลท์ ให้กรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,445-1,465 จุด เผยปัจจัยหลักต่างประเทศยังหนุนเม็ดเงินเช้าเอเชีย มองผลประกอบการ บจ.ไตรมาส 2 ใกล้เคียงไตรมาส 1 แม้กลุ่มแบงก์จะด้อยลงบ้าง
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นหลังจากที่ตลาดมองข้ามผลกระทบ Brexit ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นทันที โดยนักลงทุนกลับเข้ามาในตลาดหุ้นส่งผลให้หุ้นดีดกลับ
ทั้งนี้ คาดว่า SET Index สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,445-1,465 จุด หรืออาจสูงขึ้นกว่านี้ เพราะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ เดือน มิ.ย.ออกมาดีมากที่ 2.87 แสนคน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.75 แสนคน ทำให้ตลาดคลายความวิตกเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกจะชะลอลงไปอันเป็นผลจาก Brexit
ขณะเดียวกัน ตลาดลงความเห็นกันว่า เรื่อง Brexit จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ระมัดระวัง และจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งการที่ Fed ยังชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ทำให้ตลาดคลายความวิตกในเรื่องเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดเกิดใหม่ กลับไปยังตลาดสหรัฐฯ และเกิดผลบวก เพราะเมื่อยุโรปมีปัญหาจากประเด็น Brexit เม็ดเงินจะไหลออกจากยุโรปมายังตลาดหุ้นเอเชีย ทำให้ตลาดมีมุมมองบวกกับตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทย
ด้านผลประกอบการในไตรมาส 2/59 ของบริษัทจดทะเบียนของไทย คาดว่าจะประกาศออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 1/59 หรือต่ำกว่าเล็กน้อย เพราะมีหลายธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งสำรองหนี้สงสัญจะสูญเพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากการที่มี NPLs เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม SME ส่วนในอุตสาหกรรมอื่น ตัวเลขน่าจะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 1/59 ที่ตัวเลขออกมาดี
กลยุทธ์การลงทุนยังคงเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังในผลกระทบจาก Brexit ที่น่าจะทยอยออกมาให้เห็น และการที่ Fed จะขึ้น หรือไม่ขึ้นดอกเบี้ย ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนอยู่ แต่มุมมองในระยะยาว บล.เอเชีย เวลท์ ยังมองการลงทุนในตลาดหุ้นว่าเป็นบวก โดยเฉพาะหุ้นเอเชีย และไทย โดยหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนจะเป็นหุ้นที่มีเรื่องราวที่ชัดเจน เช่น การเจริญเติบโตดี และพื้นฐานที่ดี
สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ เลือก บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG ประกอบธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 36 โครงการในประเทศไทย มีกำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ ซึ่งให้กระแสเงินสดรับที่สม่ำเสมอแน่นอนจากสัญญากับภาครัฐ
นอกจากนี้ บริษัทยังมองโอกาสที่จะขยายไปในต่างประเทศด้วย โดยปัจจุบันได้ร่วมทุนกับพันธมิตรในญี่ปุ่นในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในปี 60 และกำลังเจรจาการลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 2-3 โครงการ
โดยทิศทางกำไรสุทธิคาดเติบโตได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ที่อัตราทบต้นเฉลี่ย 9.3% CAGR (Bloomberg consensus) ด้านปัจจัยพื้นฐาน SPCG มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงถึง 6-7% ต่อปี และมีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ที่ต่ำเพียง 7.0 เท่า และค่า Beta ที่เพียง 0.6 เท่า จึงเหมาะกับการลงทุนในปัจจุบัน
ด้าน Technical เกิดความแข็งแกร่งในระยะสั้นจากการเกิดสัญญาณซื้อรายวัน (Daily Buy Signal) ครั้งใหม่ ราคาเป้าหมาย Bloomberg consensus ให้ที่ 23.87 บาท