บล.เอเชีย เวลท์ ประเมินเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.นี้ จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่องในระยะหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ พร้อมคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนอาจโตได้ถึง 24% หลังไตรมาส 1/59 บจ.กำไรสุทธิรวมที่ 2.33 แสนล้านบาท พร้อมแนะนำ ซื้อ SVI ราคาเป้าหมายเป้าหมาย Bloomberg 5.78 บาท
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ คือ ความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม มิ.ย.นี้ จากผลสำรวจใน Wall street ถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งพุ่งสูงขึ้นเป็น 30% ประกอบกับตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่องในระยะหลัง
ประกอบกับในสัปดาห์นี้จะมีการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ครั้งที่ 2 ของสหรัฐฯ หากดีขึ้นมากกว่าเดิมที่ 0.5% ก็จะเป็นตัวตอกย้ำความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.นี้ และต้องจับตาสัญญาณจากสมาชิกของ Fed สาขาต่างๆ ที่จะทยอยออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งประธาน Fed นางเจเน็ท เยเลน ด้วย ซึ่งหากทิศทางเป็นเช่นนี้จะส่งผลกดดันตลาดหุ้น
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะสามารถเปิดเป็นบวกได้ตามตลาดภูมิภาค และตลาดหุ้น Wall street แต่อาจไปไม่ได้ไกล เพราะนักลงทุนจะยังคงมีความระมัดระวังในเรื่องการที่ Fed อาจปรับขึ้นดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อตลาดหุ้นเช่นกัน ดังนั้น บล.เอเชีย เวลท์ มองทิศทางตลาดสัปดาห์นี้ในแบบระมัดระวัง โดยมองกรอบดัชนี SET Index 1,376-1,394 จุด
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 ของไทย ออกมาอยู่ที่ 2.33 แสนล้านบาท ถือว่าดีมากทีเดียว เพราะฟื้นตัวกว่า 20% หากเทียบกับไตรมาส 4/2558 และบวกขึ้นเกือบ 1% จากไตรมาส 1/2558 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูง จึงถือว่าเป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ ทำให้ บล.เอเชีย เวลท์ มองว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ ในปีนี้มีโอกาสเติบโตถึง 24%
สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ แนะนำหุ้น SVI ของ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัทมีแนวโน้มที่สดใสหลังได้ซื้อกิจการบริษัทยุโรป Siedel Elektronik ซึ่งเป็นบริษัท ODM (Original Design Manufacturer) ผู้ผลิตสินค้าตามรูปแบบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของตนเอง และใส่แบรนด์ของผู้สั่งซื้อ การซื้อกิจการนี้ทำให้ SVI เข้าถึงเทคโนโลยี และตลาดอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงของยุโรปด้วยฐานการผลิตในออสเตรีย สโลวะเกีย และฮังการี และฐานการตลาดในสแกนดิเนเวีย แม้การลงทุนอาจฉุดกำไรในตอนเริ่มต้น แต่อัตรากำไรจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการผลิตใหญ่ถึงระดับหนึ่งด้วยยอดขายที่เพิ่มเข้ามาราว 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ ก.พ.59
นอกจากนี้ การแก้ปัญหาคอขวดการผลิตในประเทศซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/59 นี้น่าจะปลดล็อกกำลังผลิตของฐานการผลิตในไทย แม้อุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปจะอ่อนแอ แต่ความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์ชั้นสูงที่ออกแบบเป็นพิเศษ ซึ่ง SVI มีความถนัดน่าจะยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตามความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ โทรคมนาคม ดาวเทียม อาวุธ และการแพทย์
โดย SVI วางแผนที่จะตั้งฐานการผลิตในกัมพูชาปีนี้ ซึ่งน่าจะช่วยลดต้นทุนแรงงานได้ และยังให้สิทธิพิเศษทางภาษี GSP จากการใช้กัมพูชาเป็นแหล่งส่งออกสู่ประเทศตะวันตก จากคาดการณ์เฉลี่ยของ Bloomberg กำไรปกติของ SVI น่าจะพุ่งขึ้น 54% ปีนี้และ 17% ใน 2560 ปัจจุบัน หุ้น SVI เทรดที่ P/E ratio 12 เท่า ซึ่งยังคงต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน (Undervalued)
ด้าน Technical รูปแบบราคาของ SVI ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นจากการเกิดสัญญาณซื้อรายเดือน โดยรูปแบบราคาของ SVI ที่ผ่านมานั้นอยู่ในช่วงของการปรับฐาน ปัจจุบันได้กลับมาเกิดสัญญาณซื้อรายวันครั้งใหม่แล้ว แต่คาดว่ายังต้องแกว่งตัวอีกสักพักเพื่อรอการกลับมาเกิดสัญญาณซื้อรายสัปดาห์ครั้งใหม่ ทั้งนี้ ราคาเป้าหมาย Bloomberg consensus อยู่ที่ 5.78 บาท