"บุณยสิทธิ์" กุนซือใหญ่สหพัฒน์ คาดรายได้ในปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 5% แตะ 1 แสนล้านบาท เหตุประชาชนเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น จากภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หนี้ครัวเรือนลดลง เผยจัดงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20 มีเม็ดเงินสะพัดกว่า 300 ล้านบาท ดึงดูดนักช็อปปิ้งเข้าชมงานไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านคน เผยลงนามร่วมพันธมิตรจัดตั้งบริษัทร่วมทุนทำแบรนด์สินค้าแฟชั่นญี่ปุ่น พร้อมขายปีหน้า
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ บมจ.สหพัฒนพิบูล หรือ SPC เปิดถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัทในงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20 ว่า การจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะมีเงินสะพัดในงาน "สหกรุ๊ปแฟร์" ปีนี้ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท จากจำนวนผู้ที่เข้าชมงานและเลือกซื้อสินค้าภายในงานกว่า 1.1 ล้านคน ขณะที่ในส่วนของภาพรวมรายได้ของบริษัทฯในปีนี้นั้น คาดว่ารายได้ทั้งหมดของสหพัฒน์กรุ๊ป จะเติบโตไม่น้อยกว่า 5% จากปีก่อนมีรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้เติบโตอยู่ที่ 3-4% จากธุรกิจอาหารที่เติบโตขึ้นซึ่งเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้หลัก เนื่องจากประชาชนในระดับล่างมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับลดลง ซึ่งมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและจะเริ่มทยอยปรับฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งมาตรการที่ภาครัฐได้ออกนโนบายต่างๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ ทำให้มีแนวโน้มที่เม็ดเงินจากต่างประเทศจะใหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างงานและเพิ่มรายให้ในประเทศมากขึ้น
"กลุ่มสินค้าประเภทอาหารมีอัตราการเติบโตหากเทียบกับสินค้ากลุ่มอื่นถือว่ามากที่สุด เพราะเป็นสินค้าที่จะต้องมีการบริโภคอยู่ต่อเนื่องในทุกๆวัน บางประเภทผลิตได้ในปริมาณที่จำกัดไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยเฉพาะสินค้าที่มีวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตร และฤดูกาลที่ไม่แน่นอน ทำให้ส่งผลต่อราคาบ้าง ซึ่งอนาคตในครึ่งปีหลังหากเศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งในกลุ่มอุตสากรรมภาคตะวันออกของไทย ที่จะดึงนักธุรกิจต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ก็จะสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมปรับตัวดีขึ้นได้"
อย่างไรก็ตามในส่วนของยอขายสินค้ากลุ่มเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายในปีนี้ ยังไม่ดีนัก เทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไม่ใช้ประเภทฟุ่มเฟือย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่จะนิยมซื้อสินค้าประเภทนี้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนเทรนแฟชั่นใหม่ๆ หรือมีการลดราคาในงานมหกรรมแสดงสินค้าที่สำคัญๆเท่านั้น
นอกจากนี้ในส่วนของการจัดงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20 นายบุณยสิทธิ์ มองว่าจะมีเม็ดเงินจากประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของยอดผู้เข้าชมงาน จะมีไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 10% หากเทียบกับปีก่อนหน้านอกจากนี้ยังได้มีผู้ประกอบการจากในประเทศและต่างประเทศเข้ารว่มออกร้านอีกกว่า 428 ราย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการเข้าร่วมเพียง 100 รายเท่านั้น
ทั้งนี้ สหพัฒน์กรุ๊ป ยังได้เซ็นสัญญาในการร่วมทุนกับพันธมิตรประเทศญี่ปุ่นเพื่อจัดตั้ง บริษัท เวิลด์ สหแฟชั่น จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ภายใต้แบรนด์สินค้า "TAKEO KIKUCHI" ที่จะจำหน่ายในประเทศไทย โดยบริษัทร่วมทุนนี้มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 50 ล้านบาท ซึ่งสหพัฒน์กรุุ๊ปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 51% และ World Co.,Ltd. จากประเทศญี่ปุ่นถือหุ้นอก 41% อย่างไรก็ดีหลังการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแล้วคาดว่าแบรนด์สินค้า TAKEO KIKUCHI จะสามารถเริ่มจำหน่ายได้ในปีหน้า โดยจะมีอย่างน้อย 6 - 8 สาขา และจะทำการขยายสาขาเพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 6 - 8 สาขา/ปี โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมของสถานที่ในการตั้งสาขา และงบลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งมองว่าจะเปิดในลักษณะสาขาเดี่ยวมากกว่า เพราะมีสินค้าจำนวนมากและหลากหลายประเภท จากรูปแบบเดิมที่เป็นเคาท์เตอร์ ตามห้างสรรพสินค้า
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ บมจ.สหพัฒนพิบูล หรือ SPC เปิดถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัทในงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20 ว่า การจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะมีเงินสะพัดในงาน "สหกรุ๊ปแฟร์" ปีนี้ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท จากจำนวนผู้ที่เข้าชมงานและเลือกซื้อสินค้าภายในงานกว่า 1.1 ล้านคน ขณะที่ในส่วนของภาพรวมรายได้ของบริษัทฯในปีนี้นั้น คาดว่ารายได้ทั้งหมดของสหพัฒน์กรุ๊ป จะเติบโตไม่น้อยกว่า 5% จากปีก่อนมีรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้เติบโตอยู่ที่ 3-4% จากธุรกิจอาหารที่เติบโตขึ้นซึ่งเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้หลัก เนื่องจากประชาชนในระดับล่างมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับลดลง ซึ่งมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและจะเริ่มทยอยปรับฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งมาตรการที่ภาครัฐได้ออกนโนบายต่างๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ ทำให้มีแนวโน้มที่เม็ดเงินจากต่างประเทศจะใหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างงานและเพิ่มรายให้ในประเทศมากขึ้น
"กลุ่มสินค้าประเภทอาหารมีอัตราการเติบโตหากเทียบกับสินค้ากลุ่มอื่นถือว่ามากที่สุด เพราะเป็นสินค้าที่จะต้องมีการบริโภคอยู่ต่อเนื่องในทุกๆวัน บางประเภทผลิตได้ในปริมาณที่จำกัดไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยเฉพาะสินค้าที่มีวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตร และฤดูกาลที่ไม่แน่นอน ทำให้ส่งผลต่อราคาบ้าง ซึ่งอนาคตในครึ่งปีหลังหากเศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งในกลุ่มอุตสากรรมภาคตะวันออกของไทย ที่จะดึงนักธุรกิจต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ก็จะสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมปรับตัวดีขึ้นได้"
อย่างไรก็ตามในส่วนของยอขายสินค้ากลุ่มเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายในปีนี้ ยังไม่ดีนัก เทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไม่ใช้ประเภทฟุ่มเฟือย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่จะนิยมซื้อสินค้าประเภทนี้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนเทรนแฟชั่นใหม่ๆ หรือมีการลดราคาในงานมหกรรมแสดงสินค้าที่สำคัญๆเท่านั้น
นอกจากนี้ในส่วนของการจัดงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20 นายบุณยสิทธิ์ มองว่าจะมีเม็ดเงินจากประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของยอดผู้เข้าชมงาน จะมีไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 10% หากเทียบกับปีก่อนหน้านอกจากนี้ยังได้มีผู้ประกอบการจากในประเทศและต่างประเทศเข้ารว่มออกร้านอีกกว่า 428 ราย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการเข้าร่วมเพียง 100 รายเท่านั้น
ทั้งนี้ สหพัฒน์กรุ๊ป ยังได้เซ็นสัญญาในการร่วมทุนกับพันธมิตรประเทศญี่ปุ่นเพื่อจัดตั้ง บริษัท เวิลด์ สหแฟชั่น จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ภายใต้แบรนด์สินค้า "TAKEO KIKUCHI" ที่จะจำหน่ายในประเทศไทย โดยบริษัทร่วมทุนนี้มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 50 ล้านบาท ซึ่งสหพัฒน์กรุุ๊ปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 51% และ World Co.,Ltd. จากประเทศญี่ปุ่นถือหุ้นอก 41% อย่างไรก็ดีหลังการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแล้วคาดว่าแบรนด์สินค้า TAKEO KIKUCHI จะสามารถเริ่มจำหน่ายได้ในปีหน้า โดยจะมีอย่างน้อย 6 - 8 สาขา และจะทำการขยายสาขาเพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 6 - 8 สาขา/ปี โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมของสถานที่ในการตั้งสาขา และงบลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งมองว่าจะเปิดในลักษณะสาขาเดี่ยวมากกว่า เพราะมีสินค้าจำนวนมากและหลากหลายประเภท จากรูปแบบเดิมที่เป็นเคาท์เตอร์ ตามห้างสรรพสินค้า