“ทิสโก้” มองดัชนีหุ้นไทย Upside จำกัด เตือนตลาดเสี่ยงปรับฐานเดือน มิ.ย. โดยเฉพาะปัจจัยจากราคาน้ำมันดิบ และการปรับน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Market แนะโยกเงินลงทุนหนีเสี่ยง และรอจังหวะฟื้นช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมให้เป้าหมาย SET Index ที่ 1,460 จุด
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ (TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) ให้ความเห็นต่อตลาดหุ้นไทยว่า SET Index ปรับตัวขึ้นมามากนับตั้งแต่ต้นปี แต่เรายังมองว่า ตลาดหุ้นไทยจะมี Upside ที่จำกัด โดยคาดการณ์ว่า เป้าหมาย SET Index ที่ 1,460 จุด และจะมีความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานลงในช่วงเดือนมิถุนายน จากปัจจัยต่างๆ จากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นกำลังจะหมดลง และการปรับน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Market เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยด้านราคาน้ำมัน มาจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มมี Upside จำกัด และมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน โดยการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ และสินค้าโภคภัณฑ์นับเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทาง ESU มองว่า ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันต่อจากนี้จะเริ่มมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน เนื่องจากการผลิตน้ำมันที่โดนกระทบจากไฟป่าในแคนาดาจะเริ่มกลับมาผลิตได้ตามปกติภายในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน และผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ อาจกลับมาลงทุนขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้นหากราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้อย่างต่อเนื่อง โดย ESU เริ่มเห็นสัญญาณจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ที่เริ่มทรงตัวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม หลังจากที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ การปรับน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Market ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อาจเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติตามการปรับน้ำหนักของดัชนี MSCI Emerging Market ซึ่งจะมีผล ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ADR (American Depositary Receipt) ของบริษัทขนาดใหญ่ของจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น บริษัท Alibaba และ Baidu และจะส่งผลให้น้ำหนักของตลาดหุ้นอื่นๆ ในดัชนี MSCI Emerging Market รวมทั้งตลาดหุ้นไทยลดลง การปรับน้ำหนักการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติตามดัชนีใหม่ อาจส่งผลให้ Fund Flows ที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ อาจพลิกกลับเป็นไหลออกในช่วงไตรมาส 2 และกดดันตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่มากกว่าในตลาดพัฒนาแล้ว
ทั้งนี้ ประเด็นการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 15 มิถุนายน ตลาดเริ่มให้น้ำหนักต่อการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมช่วงกลางปีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ภายในเดือนกรกฎาคมได้เพิ่มขึ้นสูงกว่า 50% ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า และเป็นปัจจัยกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดหุ้น รวมถึงค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ต่อไป
ขณะเดียวกัน การลงประชามติการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ในวันที่ 23 มิถุนายน ผลการสำรวจล่าสุด ชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้อังกฤษเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ต่อไป แต่ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษยังเป็นความเสี่ยงที่ตลาดจับตามอง
อย่างไรก็ตาม ESU มองว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายนนั้นจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ในขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ และการเติบโตของกำไรจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี เราแนะนำให้ใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน และเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นญี่ปุ่นต่อไป ส่วนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เราแนะนำให้เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งยังซื้อขายในระดับ Valuation ที่ถูก และอาจมีปัจจัยบวกจากการเพิ่มน้ำหนักของหุ้นจีน A-shares ในดัชนี MSCI Emerging Markets ซึ่งจะประกาศในวันที่ 15 มิถุนายน 2559 นี้