“แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น” แจงการเพิ่มทุนใหม่ 20,328 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท เพื่อขายให้ PP และ PO เพื่อนำเงินไปใช้ในโปรเจกต์ใหญ่โรงไฟฟ้า 120 MW-360 MWz พร้อมตั้งเป้าหมายสร้างกำไรระยะยาว ที่สำคัญจะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่บริษัท และผู้ถือหุ้น
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ให้บริษัทชี้แจงเกี่ยวกับการเพิ่มทุนนั้น บริษัทขอชี้แจงว่า เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันที่ 24 พ.ค.2559 มีมติกำหนดให้มีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2559 ในวันพฤหัสบดีที่ 14 ก.ค.2559 ที่โรงแรมเอเชีย เพื่ออนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 24,976 ล้านบาท เป็น 45,304 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน 20,328 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ตามที่ได้แจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ ไปเมื่อวันที่ 24 พ.ค.2559 นั้น โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อเป็นเงินทุนสำรองในการขยายธุรกิจใหม่ในอนาคต ทั้งการลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี และเป็นที่น่าพอใจให้แก่บริษัท และผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว โดยโครงการในอนาคตจะนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น และส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทปรับตัวได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่บริษัท และผู้ถือหุ้น
สำหรับโครงการที่บริษัทกำลังเจรจาอยู่เพื่อกระจายฐานรายได้ และสร้างให้มีกำไรอย่างสม่ำเสมอนั้นเป็นโครงการโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 1-3 โรง มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโรงละไม่เกิน 120 MW มีมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ประมาณ 5,000-14,000 ล้านบาท จากการประเมินมูลค่ากิจการสุทธิ (Equity Value) เบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณโรงละ 2,000 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนการลงทุนในแต่ละโรงอยู่ระหว่างการเจรจา
โดยบริษัทจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของ ตลท.อย่างเคร่งครัด ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าดังกล่าวบางโรงได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว อีกส่วนหนึ่งจะใช้เงินในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ ประมาณ 650 ล้านบาท อาจจะต้องมีการลงทุนเพิ่มในโครงการดังกล่าวเพื่อเพิ่มรายได้อีก 200-300 ล้านบาท และลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย ปัจจุบันได้ก่อสร้างเสร็จแล้วประมาณ 70-80% มียอดขายแล้ว 40-50% โดยจะมีรายได้จากการขายประมาณ 370 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จ และสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2559 นี้
อย่างไรก็ดี ผลกระทบกรณีที่บริษัทไม่สามารถระดมทุนได้ คือ บริษัทจะขาดการรับรู้รายได้ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี และขาดการรับรู้กำไรอีก 150-200 ล้านบาทต่อปี แต่บริษัทก็จะนำเงินเพิ่มทุนส่วนที่เหลือมาลงทุนในทางเลือกที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์สูงสุด คาดว่าจะใช้สำหรับทำโครงการโรงไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งจะสามารถทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 40-50 ล้านบาทต่อปี
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ให้บริษัทชี้แจงเกี่ยวกับการเพิ่มทุนนั้น บริษัทขอชี้แจงว่า เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันที่ 24 พ.ค.2559 มีมติกำหนดให้มีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2559 ในวันพฤหัสบดีที่ 14 ก.ค.2559 ที่โรงแรมเอเชีย เพื่ออนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 24,976 ล้านบาท เป็น 45,304 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน 20,328 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ตามที่ได้แจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ ไปเมื่อวันที่ 24 พ.ค.2559 นั้น โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อเป็นเงินทุนสำรองในการขยายธุรกิจใหม่ในอนาคต ทั้งการลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี และเป็นที่น่าพอใจให้แก่บริษัท และผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว โดยโครงการในอนาคตจะนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น และส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทปรับตัวได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่บริษัท และผู้ถือหุ้น
สำหรับโครงการที่บริษัทกำลังเจรจาอยู่เพื่อกระจายฐานรายได้ และสร้างให้มีกำไรอย่างสม่ำเสมอนั้นเป็นโครงการโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 1-3 โรง มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโรงละไม่เกิน 120 MW มีมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ประมาณ 5,000-14,000 ล้านบาท จากการประเมินมูลค่ากิจการสุทธิ (Equity Value) เบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณโรงละ 2,000 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนการลงทุนในแต่ละโรงอยู่ระหว่างการเจรจา
โดยบริษัทจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของ ตลท.อย่างเคร่งครัด ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าดังกล่าวบางโรงได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว อีกส่วนหนึ่งจะใช้เงินในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ ประมาณ 650 ล้านบาท อาจจะต้องมีการลงทุนเพิ่มในโครงการดังกล่าวเพื่อเพิ่มรายได้อีก 200-300 ล้านบาท และลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย ปัจจุบันได้ก่อสร้างเสร็จแล้วประมาณ 70-80% มียอดขายแล้ว 40-50% โดยจะมีรายได้จากการขายประมาณ 370 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จ และสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2559 นี้
อย่างไรก็ดี ผลกระทบกรณีที่บริษัทไม่สามารถระดมทุนได้ คือ บริษัทจะขาดการรับรู้รายได้ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี และขาดการรับรู้กำไรอีก 150-200 ล้านบาทต่อปี แต่บริษัทก็จะนำเงินเพิ่มทุนส่วนที่เหลือมาลงทุนในทางเลือกที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์สูงสุด คาดว่าจะใช้สำหรับทำโครงการโรงไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งจะสามารถทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น 40-50 ล้านบาทต่อปี