ยักษ์ใหญ่ธุรกิจกระจกของไทยแตกไลน์ชิงแชร์ด้านอสังหาฯ ในนาม “ทีพร็อพเพอร์ตี้” ผุดโปรเจกต์นำร่องแรก “ที59 เวสต์เกต” มูลค่า 1,000 ล้านบาท รูปแบบพรีเมียมโฮมออฟฟิศบนทำเลทอง “สามแยกบางใหญ่รัตนาธิเบศร์” ย่านธุรกิจแห่งล่าสุดของไทย
นางวิพร ตัณฑ์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทฯ ได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเข้าดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ คือ ธุรกิจกระจกที่ดำเนินการในนาม บริษัท ทีวายเคกลาส จำกัด หรือ ตอยงเกียรติกลาส ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินการติดตั้งให้แก่โครงการที่พักอาศัยมาแล้วกว่า 1,000 โครงการ ประกอบกับทางบริษัทมีที่ดินที่สะสมที่รอการพัฒนาอยู่ในมือหลายแปลง จึงได้แตกไลน์ธุรกิจมาสู่นักพัฒนาโครงการอสังหาฯ เป็นครั้งแรก ด้วยการตั้ง บริษัท ทีพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน โดยจะมุ่งพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในแต่ละทำเลอย่างตรงจุด โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการโมเดิร์นพรีเมียมโฮมออฟฟิศภายใต้ชื่อ “ที59 เวสต์เกต (T59 WESTGATE)” ด้วยการใช้งบการตลาดกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างให้เกิดการรับรู้แก่กลุ่มเป้าหมายด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดแบบผสมผสาน
โครงการ “ที59 เวสต์เกต” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ บริเวณถนนรัตนาธิเบศร์ เป็นอาคารพาณิชย์ในรูปแบบพรีเมียมโฮมออฟฟิศ สูง 5 ชั้น พร้อมลิฟต์ส่วนตัว และที่จอดรถ 2-4 คัน รวม 59 ยูนิต มีจำนวน 2 เฟส ขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 19.12 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอย 250 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขาเริ่มต้นที่ 14.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเอสเอ็มอี (SMEs) ที่มีที่พักอาศัยในย่านดังกล่าวอยู่แล้ว และต้องการขยายพื้นที่สำหรับเป็นสำนักงาน รวมไปถึงปรับเป็นที่อยู่อาศัยได้ บางรายก็ซื้อเพื่อลงทุน เมื่อได้จังหวะก็จะปล่อยขาย ซึ่งที่ผ่านมา สัดส่วนซื้อเพื่อดำเนินธุรกิจ อยู่อาศัยเอง และเพื่อการลงทุน อยู่ที่ 70:30 โดยหลังเปิดพรีเซลในเฟสแรกเมื่อกลางปีที่ผ่านมา มียอดขายแล้วกว่า 60% และปัจจุบันดำเนินการขายเฟส 2 ราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท ซึ่งสามารถทำยอดขายไปได้แล้วประมาณ 30% อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่ซื้อโครงการในช่วงนี้ 9 ยูนิตแรกจะได้รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท และคาดว่าจากกระแสการเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วง จะทำให้บริษัทฯ สามารถปิดการขายโครงการได้ภายในปี 2559
ทั้งนี้ การขยายมาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ สัดส่วน 70% เป็นงบลงทุนของบริษัทฯ และอีก 30% ได้รับแหล่งเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย ซึ่งสาเหตุที่เลือกพัฒนาโฮมออฟฟิศนั้น ผลสำรวจระบุว่า การแข่งขันในย่านดังกล่าวแทบไม่มีเลยจึงทำการตลาดได้ง่ายกว่า ในขณะที่เซกเมนต์อื่นมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก โดยเฉพาะรายใหญ่มีสต๊อกที่ดินมาก ซึ่งราคาที่ดินย่านรัตนาธิเบศร์ ตั้งแต่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีการปรับตัวสูงมาตลอดจนไม่สามารถพัฒนาบ้านเดี่ยวได้ ต้องพัฒนาคอนโดฯ เท่านั้น ปัจจุบัน ราคาที่ดินอยู่ที่ 150,000 บาทต่อตารางวา หรือ 60 ล้านบาทต่อไร่ ปรับขึ้นจากปี 2558 ประมาณ 20% คาดว่าภายในอีก 3 ปี จะปรับขึ้นถึง 100 ล้านบาทต่อไร่
ด้าน นายธงชัย ปิยสันติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีเนอจี้ จำกัด ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การตลาดและการขาย กล่าวว่า ปัจจุบัน และอนาคต “สามแยกบางใหญ่” จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ และเรามั่นใจว่า เมื่อมีการเปิดใช้บริการของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง อสังหาริมทรัพย์ในย่านสามแยกบางใหญ่จะกลายเป็นแหล่งการอยู่อาศัย แหล่งการดำเนินธุรกิจ และแหล่งการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในอันดับต้นๆ ของเมืองไทย และหากวิเคราะห์เกี่ยวกับประเภทของอสังหาริมทรัพย์ และโอกาสในการเติบโตในย่านสามแยกบางใหญ่ พบว่าปัจจุบัน อาคารพาณิชย์ที่ติดถนนรัตนาธิเบศร์นั้นมีสัดส่วนเพียง 1% ของอสังหาริมทรัพย์ในย่านดังกล่าว จึงเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า ในย่านดังกล่าวยังมีกำลังซื้อโครงการอาคารพาณิชย์อีกมาก เพราะปัจจุบัน ภาครัฐได้ให้นโยบายสนับสนุน และส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ทำให้ปริมาณความต้องการโฮมออฟฟิศมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่น่าสนใจ คือ ทุกย่านที่มีการเติบโตของโฮมออฟฟิศ หรืออาคารพาณิชย์ติดริมถนนสายเศรษฐกิจ และมีรถไฟฟ้าให้บริการจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 200% ภายใน 3 ปี ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วกับทำเลย่านสุขุมวิท รัชดา และวงเวียนใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าในส่วนของโครงการ “ที59 เวสต์เกต” ก็เช่นกัน
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ของบริษัทฯ นับจากนี้ไปจะรุกการพัฒนาอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 1 โครงการ มูลค่าโครงการที่มีศักยภาพในการพัฒนาจะประมาณไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และภายใน 1 ปีนับจากนี้ บริษัทฯ จะมีรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ สัดส่วน 50% ที่เหลือจะเป็นรายได้จากธุรกิจกระจก โดยในส่วนธุรกิจกระจกในปีนี้คาดจะมียอดขาย 600-700 ล้านบาท