บล.บัวหลวง กางแผนธุรกิจปี 2559 ตั้งเป้ารายได้ และกำไรเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน พร้อมปรับกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าเดิมตั้งเป้าบัญชีใหม่ 40,000-50,000 บัญชี จับมือฝ่ายวิจัยออกบทวิเคราะห์เน้นข้อมูลเจาะลึก และระบบไอทีรองรับเทรนด์ซื้อขายหุ้นออนไลน์มากขึ้น คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,440 จุด ชี้หุ้นกลุ่มสุขภาพ ค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง รับอานิสงส์ภาครัฐดี
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง หรือ BLS กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า บริษัทฯ ประเมินรายได้ และกำไรคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยผลประกอบการงวดบัญชีปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 3,454 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 1,136 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ DW (Derivative Warrants) ซึ่งเป็นรายได้ที่มีนัยสำคัญของบริษัทฯ
ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจหลักๆ ในปี 2559 นี้ โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ที่มาจากจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นเป็น 7% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 6.8% ในปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าเดิมไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ โดยตั้งเป้าหมายบัญชีในปีนี้ที่จะมีลูกค้ารายใหม่ (Active) เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 40,000-50,000 จากบัญชีลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 220,000 บัญชี อีกทั้งบริษัทฯ จะเน้นความแตกต่างจากการให้บริการของโบรกเกอร์รายอื่นด้วยการจัดอบรมให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่นักลงทุน อีกทั้งยังได้มีการร่วมมือกับฝ่ายวิจัยในการพัฒนานวัฒกรรมด้านการลงทุนที่มีความทันสมัย มีความรวดเร็วมากขึ้น และยังได้พัฒนาบทวิเคราะห์ที่มีความเจาะลึกในหุ้นรายตัวที่แตกต่างจากมุมมองอื่นๆ ด้านการลงทุนอื่นๆ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับผลตอบแทนที่ดี มีความเสี่ยงน้อย และคุ้มค่าในการลงทุน
ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจ หรือ IB ในปีนี้นั้นบริษัทฯ มีแผนที่จะนำบริษัทจดทะเบียนเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 3-4 บริษัท โดยจะเป็นบริษัทฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านพลังงาน และวัสดุก่อสร้าง
“มองว่าเทรนด์การลงทุนในปีนี้จะมีนักลงทุนหันมาซื้อขายหุ้นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปี 2559 นี้จะอยู่ที่ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท/วัน ทำให้บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนจะได้รับ ทั้งสภาพความผันผวนของตลาด และสถานณ์การที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน จึงได้ร่วมกับทีมวิจัยในการพัฒนาข้อมูลเทคนิคทั้งระบบออนไลน์ และทีมช่วยเหลือด้านการลงทุน เพื่อรองรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้ามาลงทุน และให้นักลงทุนได้มีภูมิคุ้มกันด้านข้อมูลที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมุมมองดัชนีการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ นายพิเชษฐ มองว่า SET Index จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบดัชนี 1,440 จุด บนพื้นฐาน P/E ที่ 15.5 เท่า ซึ่งในปัจจุบัน มองว่ามีการปรับตัวขึ้นอยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อการลงทุน ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ เช่น ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ส่งสัญญาณปรับฟื้นตัวขึ้นมา และอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนยังคงมีความผันผวนในระดับที่มีความน่ากังวล และมีความเสี่ยงสูง ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาพรวมในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทผันผวนตามไปด้วย
นอกจากนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ที่จะมีการประชุมในรอบถัดไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนบ้าง แต่ประเมินว่าในระยะสั้นๆ เท่านั้น อีกทั้งประเด็นการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ EU ของประเทศอังกฤษ ซึ่งหากมีการลงประชามติที่จะแยกตัวออกไปจริงๆ นั้น อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจในทุกประเทศทั่วโลก
ขณะที่ในส่วนของกลุ่มธุรกิจพลังงาน มองว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มผันผวนในทิศทางขาลงค่อนข้างสูง ซึ่งประเมินว่า จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคา 30-35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหนือกว่าปริมาณที่ตลาดทั่วโลกต้องการ ขณะที่ในส่วนของกลุ่มประเทศผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมัน หรือ OPEC ยังคงอัตราการผลิตน้ำมันในสัดส่วนเดิม
นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยภายในประเทศยังมีความกังวลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 ที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ในระดับสูงเกินกว่าเพดานสำรองที่ตั้งไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย ขณะที่ในส่วนของนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการลงทุนของภาครัฐนั้น มองว่า หากยังไม่มีความชัดเจนในปีนี้อาจทำให้กระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นที่มีต่อการเข้ามาลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ และการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่ไม่เติบโตเป็นไปตามเป้าที่หลายฝ่ายมองไว้
ส่วนหุ้นที่มองว่าจะได้รับอานิสงส์ดีในปีนี้ ได้แก่ หุ้นกลุ่มสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล หุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจากนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น CPALL CPN ROBINS และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง หรือ BLS กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า บริษัทฯ ประเมินรายได้ และกำไรคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยผลประกอบการงวดบัญชีปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 3,454 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 1,136 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ DW (Derivative Warrants) ซึ่งเป็นรายได้ที่มีนัยสำคัญของบริษัทฯ
ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจหลักๆ ในปี 2559 นี้ โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ที่มาจากจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นเป็น 7% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 6.8% ในปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าเดิมไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ โดยตั้งเป้าหมายบัญชีในปีนี้ที่จะมีลูกค้ารายใหม่ (Active) เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 40,000-50,000 จากบัญชีลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 220,000 บัญชี อีกทั้งบริษัทฯ จะเน้นความแตกต่างจากการให้บริการของโบรกเกอร์รายอื่นด้วยการจัดอบรมให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่นักลงทุน อีกทั้งยังได้มีการร่วมมือกับฝ่ายวิจัยในการพัฒนานวัฒกรรมด้านการลงทุนที่มีความทันสมัย มีความรวดเร็วมากขึ้น และยังได้พัฒนาบทวิเคราะห์ที่มีความเจาะลึกในหุ้นรายตัวที่แตกต่างจากมุมมองอื่นๆ ด้านการลงทุนอื่นๆ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับผลตอบแทนที่ดี มีความเสี่ยงน้อย และคุ้มค่าในการลงทุน
ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจ หรือ IB ในปีนี้นั้นบริษัทฯ มีแผนที่จะนำบริษัทจดทะเบียนเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 3-4 บริษัท โดยจะเป็นบริษัทฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านพลังงาน และวัสดุก่อสร้าง
“มองว่าเทรนด์การลงทุนในปีนี้จะมีนักลงทุนหันมาซื้อขายหุ้นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปี 2559 นี้จะอยู่ที่ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท/วัน ทำให้บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนจะได้รับ ทั้งสภาพความผันผวนของตลาด และสถานณ์การที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน จึงได้ร่วมกับทีมวิจัยในการพัฒนาข้อมูลเทคนิคทั้งระบบออนไลน์ และทีมช่วยเหลือด้านการลงทุน เพื่อรองรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้ามาลงทุน และให้นักลงทุนได้มีภูมิคุ้มกันด้านข้อมูลที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมุมมองดัชนีการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ นายพิเชษฐ มองว่า SET Index จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบดัชนี 1,440 จุด บนพื้นฐาน P/E ที่ 15.5 เท่า ซึ่งในปัจจุบัน มองว่ามีการปรับตัวขึ้นอยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อการลงทุน ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ เช่น ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ส่งสัญญาณปรับฟื้นตัวขึ้นมา และอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนยังคงมีความผันผวนในระดับที่มีความน่ากังวล และมีความเสี่ยงสูง ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาพรวมในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทผันผวนตามไปด้วย
นอกจากนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ที่จะมีการประชุมในรอบถัดไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนบ้าง แต่ประเมินว่าในระยะสั้นๆ เท่านั้น อีกทั้งประเด็นการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ EU ของประเทศอังกฤษ ซึ่งหากมีการลงประชามติที่จะแยกตัวออกไปจริงๆ นั้น อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจในทุกประเทศทั่วโลก
ขณะที่ในส่วนของกลุ่มธุรกิจพลังงาน มองว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มผันผวนในทิศทางขาลงค่อนข้างสูง ซึ่งประเมินว่า จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคา 30-35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหนือกว่าปริมาณที่ตลาดทั่วโลกต้องการ ขณะที่ในส่วนของกลุ่มประเทศผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมัน หรือ OPEC ยังคงอัตราการผลิตน้ำมันในสัดส่วนเดิม
นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยภายในประเทศยังมีความกังวลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 ที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ในระดับสูงเกินกว่าเพดานสำรองที่ตั้งไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย ขณะที่ในส่วนของนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการลงทุนของภาครัฐนั้น มองว่า หากยังไม่มีความชัดเจนในปีนี้อาจทำให้กระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นที่มีต่อการเข้ามาลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ และการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่ไม่เติบโตเป็นไปตามเป้าที่หลายฝ่ายมองไว้
ส่วนหุ้นที่มองว่าจะได้รับอานิสงส์ดีในปีนี้ ได้แก่ หุ้นกลุ่มสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล หุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจากนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น CPALL CPN ROBINS และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น