ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไทยไตรมาสแรกเริ่มทยอยประกาศออกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นตามคาดการณ์ว่า ไม่น่าจะหวือหวามากนัก จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องมากว่า 3 ปี ทำให้ความต้องการสินเชื่อชะลอตามไปด้วย ขณะเดียวกัน ธนาคารได้รับความกดดันจากคุณภาพหนี้ที่แย่ลง ทำให้ต้องเพิ่มเงินสำรองตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อผลกำไรของธนาคารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดถึงระยะถัดไปที่ความเสี่ยงทางด้านการชะลอของเศรษฐกิจสูงขึ้น รวมถึงหนี้เสียของธนาคารก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย
ล่าสุด น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 โดยธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 9,646 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 22.22% ส่วนใหญ่เกิดจากธนาคารมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว
ส่วนผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2558 ธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 9,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จำนวน 4,169 ล้านบาท หรือ 76.13% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ จำนวน 5,039 ล้านบาท ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล และรายการพิเศษ นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จำนวน 3,020 ล้านบาท หรือ 20.79% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดทุน และตลาดเงิน และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัย โดยยังคงรักษาระดับอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin : NIM) ไว้ที่ระดับ 3.62%
สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 อยู่ที่ระดับ 2.81% ขณะที่สิ้นปี 2558 อยู่ที่ระดับ 2.70% อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 อยู่ที่ระดับ 135.13% ขณะที่สิ้นปี 2558 อยู่ที่ระดับ 129.96% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 อยู่ที่ 18.36% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 14.88%
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) แจ้งผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 ธนาคารมีกำไรสุทธิ จำนวน 8,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 636 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2558 แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 9,407 ล้านบาทแล้ว ลดลง 11% โดยในไตรมาสแรกปีนี้ ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 16,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 417 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.7% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 0.04% เป็น 2.37% เนื่องจากต้นทุนเงินฝากลดลง ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมี จำนวน 10,672 ล้านบาท ลดลง 121 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1%
ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 2.9% อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงเน้นการบริหารความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้คำปรึกษา และความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่องเสมอมา พร้อมกันนั้น ธนาคารยังคงตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ธนาคารมีเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูง ในไตรมาส 1 ปี 2559 ธนาคารมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 3,644 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 5.8%
ด้าน ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) แจ้งกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2559 จำนวน 2.09 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 455 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2558 ที่ 2.62 พันล้านบาทแล้ว ลดลง 20% ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นจาก 923 ล้านบาท เป็น 1,877 ล้านบาท โดยธนาคารยังคงดำเนินการตั้งสำรองฯ อย่างระมัดระวัง และตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 1,877 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 59 เพิ่มขึ้นจาก 923 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 58 แต่ลดลงจาก 2,387 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 58 และด้วยการตั้งสำรองฯ อย่างระมัดระวัง ธนาคารจึงยังคงสามารถรักษาระดับอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพได้ในระดับแข็งแกร่งที่ 140% และมี NPL จำนวน 21,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% จากสิ้นปีที่แล้ว
ล่าสุด น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 โดยธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 9,646 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 22.22% ส่วนใหญ่เกิดจากธนาคารมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว
ส่วนผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2558 ธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 9,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จำนวน 4,169 ล้านบาท หรือ 76.13% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ จำนวน 5,039 ล้านบาท ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล และรายการพิเศษ นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จำนวน 3,020 ล้านบาท หรือ 20.79% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดทุน และตลาดเงิน และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัย โดยยังคงรักษาระดับอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin : NIM) ไว้ที่ระดับ 3.62%
สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 อยู่ที่ระดับ 2.81% ขณะที่สิ้นปี 2558 อยู่ที่ระดับ 2.70% อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 อยู่ที่ระดับ 135.13% ขณะที่สิ้นปี 2558 อยู่ที่ระดับ 129.96% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 อยู่ที่ 18.36% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 14.88%
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) แจ้งผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 ธนาคารมีกำไรสุทธิ จำนวน 8,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 636 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2558 แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 9,407 ล้านบาทแล้ว ลดลง 11% โดยในไตรมาสแรกปีนี้ ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 16,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 417 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.7% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 0.04% เป็น 2.37% เนื่องจากต้นทุนเงินฝากลดลง ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมี จำนวน 10,672 ล้านบาท ลดลง 121 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1%
ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 2.9% อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงเน้นการบริหารความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้คำปรึกษา และความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่องเสมอมา พร้อมกันนั้น ธนาคารยังคงตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ธนาคารมีเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูง ในไตรมาส 1 ปี 2559 ธนาคารมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 3,644 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 5.8%
ด้าน ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) แจ้งกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2559 จำนวน 2.09 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 455 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2558 ที่ 2.62 พันล้านบาทแล้ว ลดลง 20% ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นจาก 923 ล้านบาท เป็น 1,877 ล้านบาท โดยธนาคารยังคงดำเนินการตั้งสำรองฯ อย่างระมัดระวัง และตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 1,877 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 59 เพิ่มขึ้นจาก 923 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 58 แต่ลดลงจาก 2,387 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 58 และด้วยการตั้งสำรองฯ อย่างระมัดระวัง ธนาคารจึงยังคงสามารถรักษาระดับอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพได้ในระดับแข็งแกร่งที่ 140% และมี NPL จำนวน 21,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% จากสิ้นปีที่แล้ว