ยันการทยอยลดคุ้มครองเงินฝากไม่ทำให้ ปชช.ตื่นตระหนก มั่นใจแบงก์แข็งแกร่ง ไม่มีปัญหาสภาพคล่อง

สศค.ยันไม่พบการโยกย้ายเงินฝากอย่างมีนัยสำคัญจากผลการทยอยลดคุ้มครองเงินฝาก พร้อมยืนยันสถานะของสถาบันการเงินของไทยยังแข็งแกร่งอย่างมาก ด้านนายแบงก์พร้อมใจประสานเสียงการเลื่อนการคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ออกไปอีก 4 ปี เป็นผลดีต่อผู้บริโภค ย้ำธนาคารพาณิชย์ไม่มีปัญหาสภาพคล่อง

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การปรับปรุงร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. ... ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (26 เม.ย.) ซึ่งจะมีการขยายเวลาการคุ้มครองเงินฝาก ทยอยปรับลดวงเงินในการคุ้มครองเงินฝากลงนั้น ยืนยันว่า ไม่ได้เกิดจากกระแสข่าวการโยกย้ายเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ไปยังธนาคารของรัฐแต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมา สศค.ได้ติดตามข้อมูลต่างๆ อย่างใกล้ชิด และยังไม่พบการโยกย้ายเงินฝากอย่างมีนัยสำคัญ หรือเป็นผลมาจากการปรับลดการคุ้มครองเงินฝากอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การปรับลดวงเงินการคุ้มครองเงินฝากนี้มีความพยายามที่จะดำเนินการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว และได้มีการหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงให้มีความเป็นสากลมากขึ้น และเพื่อเป็นการให้เวลาแก่ผู้ฝากเงินในการปรับตัว และบริหารจัดการเงินฝากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“เราพยายามทำเรื่องการคุ้มครองเงินฝากให้เป็นสากลมากขึ้นมานานแล้ว และที่ผ่านมา ก็มีความพยายาม และอยากจะเสนอให้มีการพิจารณาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ผ่านมาจนถึงทีมเศรษฐกิจชุดที่ผ่านมาจนมาสำเร็จในปัจจุบัน โดยยืนยันว่า สถานะของสถาบันการเงินของไทยยังแข็งแกร่งอย่างมาก อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของระบบอยู่ในระดับสูงที่ 17.4% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 8.5% ถือว่าแข็งแรง และไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”

**นายแบงก์ประสานเสียงเป็นผลดีต่อประชาชน

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเลื่อนการคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ออกไปเป็นวันที่ 11 สิงหาคม 2563 จากเดิมที่ต้องมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2559 ว่า เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงินมากขึ้น โดยการเลื่อนการคุ้มครองเงินฝากไม่เกี่ยวข้องต่อความพร้อม รวมถึงสภาพคล่องของธนาคารที่ยังมีเพียงพอ เพราะที่ผ่านมา ธนาคารมีการเตรียมความพร้อมด้านระบบ และการทำความเข้าใจไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งธนาคารพร้อมดำเนินการตามนโยบายที่ออกมาอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงเชื่อว่าหากในอนาคตจะมีผลบังคับใช้จะไม่มีปัญหา และไม่น่าห่วงแต่อย่างใด

ด้าน นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า การเลื่อนระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากจะไม่มีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ เพราะมีการเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว ดังนั้น จึงจะไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งผู้ฝากเงิน และผู้ประกอบการสถาบันการเงิน และปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ไม่มีการแข่งขันระดมเงินฝากมากนัก

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีการปรับลดลงเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากรายย่อยไว้เช่นเดิม เพื่อดูแลผลตอบแทนไม่ให้ต่ำเกินไป หากจะปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษ เพื่อรักษาต้นทุนของธนาคาร แต่จะเป็นการปรับลงในอัตราที่ไม่มากนัก

น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย มองว่า การขยายเวลาการคุ้มครองเงินฝากขณะนี้เหมาะสมต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อจะช่วยความมั่นใจให้แก่ประชาชน และนักลงทุนที่มีความเป็นห่วงเงินฝากในระบบในบัญชีของตนเอง ทั้งนี้ หากขยายระยะเวลาออกไป จะทำให้ประชาชนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และจะได้มีเวลาในการหาทางเลือกในการกระจายการลงทุนในช่วงที่การคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 25 ล้านบาทอยู่ โดยไม่เกี่ยวข้องต่อสภาพคล่องของธนาคาร เพราะปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ยังมีสภาพคล่องสูงเพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อได้ตามปกติ

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า การยืดระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากออกไปอีก 4 ปี จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน และเหมาะสมต่อเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังชะลอตัว ซึ่งปัจจุบัน ระบบเงินฝากในธนาคารมีอยู่ประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งมีมากกว่าการกู้ยืม ดังนั้น การขยายระยะเวลาการคุ้มครองจึงไม่มีผลต่อสภาพคล่อง และเป็นไปตามกลไกตลาด และเพื่อคุ้มครองประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 99 ถือครองเงินฝากต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีเพียงไม่กี่แสนคนที่มีเงินฝาก 25 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ประชาชนมองหาการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น สถาบันการเงินของไทยกว่า 200 แห่ง จะร่วมกันจัดงานมหกรรมการเงิน หรือ Money Expo ครั้งที่ 16 ภายใต้แนวคิด Digital life Digital Money รับโลกการเงินการลงทุนยุคดิจิตอล ระหว่างวันที่ 12-15 พฤษภาคม 2559 โดยจะจัดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ มานำเสนอในงานนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าชมประมาณ 12 ล้านคน ยอดทำธุรกรรมไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท