xs
xsm
sm
md
lg

BANPU ดึงมือดีด้านธุรกิจน้ำมันและก๊าซฯ นั่งเก้าอี้บอร์ดบริหาร เสริมทัพธุรกิจพลังงานครบวงจร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


BANPU ดึงมือดี “อนนต์ สิริแสงทักษิณ” อดีตผู้บริหาร ปตท.นั่งเก้าอี้บอร์ดบริหาร ควบที่ปรึกษาฯ เผยเป็นการเสริมทัพเพื่อรุกธุรกิจต้นน้ำ ขณะที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนถือหุ้นในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดานในสหรัฐฯ เล็งพัฒนาไปเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง และมีบทบาทผลิต และจัดหาพลังงานอย่างครบวงจร รองรับห่วงโซ่อุปทานจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวว่า บริษัทได้แต่งตั้งนายอนนต์ สิริแสงทักษิณ อดีตผู้บริหารกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) เป็นกรรมการบริหารและที่ปรึกษา เพื่อนำประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษในการบริหารธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมาขับเคลื่อนกลยุทธ์ใหม่ของบริษัทให้เดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับการอนุมัติในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2559 เมื่อวานนี้ ขณะที่ล่าสุด บริษัทได้เข้าไปลงทุนถือหุ้นในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas) ในสหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุน 112 ล้านเหรียญสหรัฐ

“เรามองเห็นภาพบ้านปูฯ พัฒนาไปเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง และมีบทบาทผลิตและจัดหาพลังงานอย่างครบวงจร รองรับห่วงโซ่อุปทานจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่า เราสามารถสร้างอุปทานได้อย่างเพียงพอ โดยมีการพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และควบคุมการส่งผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ขณะที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสมฤดี กล่าว

นางสมฤดี กล่าวอีกว่า บริษัทได้ทำการประเมินเชิงลึกถึงแผนการลงทุนมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้วยการสร้างความหลากหลายทางธุรกิจให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งนำเอาทักษะ และจุดแข็งต่างๆ ที่มีอยู่มาต่อยอด ในขณะเดียวกัน ก็ลดความเสี่ยงต่างๆ และนำหลักของการเติบโตอย่างยั่งยืนมาใช้ให้เหมาะสม ซึ่งทำให้บริษัทได้เริ่มต้นก้าวสู่การลงทุนในธุรกิจพลังงานใหม่ๆ

ในขณะที่ธุรกิจพลังงานหลักยังคงดำเนินต่อไปอย่างแข็งแกร่ง และก็จะเริ่มนำธุรกิจพลังงานที่สอดรับต่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาช่วยสร้างสมดุลด้วย โดยจะเห็นได้จากการที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศญี่ปุ่น และขณะนี้ก็ได้เข้าไปเริ่มธุรกิจการผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดานในสหรัฐอเมริกาแล้ว ซึ่งนับเป็นการก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจของบริษัท โดยการลงทุนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทได้ปรับตัวตามแนวทางพลังงานของโลกที่เปลี่ยนแปลง

สำหรับการลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกานั้น บริษัทได้เข้าถือครองสิทธิ 29.4% ในสัญญาร่วมสำรวจ (Joint Exploration Agreement : JEA) ที่ Chaffee Corners ซึ่งเป็นแหล่งผลิต Shale Gas ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ ที่ตั้งอยู่ทางแถบตะวันออกเฉียงเหนือของ Marcellus Shale ในรัฐเพนซิลเวเนีย โดยคิดเป็นมูลค่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ Marcellus Shale เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีปริมาณก๊าซสำรองที่พิสูจน์แล้วประมาณ 85 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟ.) คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับหนึ่งในห้าของการผลิตก๊าซทั้งหมดในประเทศ โดยมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่งที่ต่ำ และตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตลาดที่มีความต้องการใช้พลังงานสูง ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ขณะที่สัดส่วนการถือครองปริมาณสำรอง (P1) ของบริษัทอยู่ที่ 156,000 ลบ.ฟ. และมีเป้าการผลิตในปีนี้ให้ได้ปริมาณรวมทั้งสิ้น 21 ล้าน ลบ.ฟ./วัน เพื่อส่งมอบต่อลูกค้าในประเทศ โดยใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก

ส่วนผู้ร่วมลงทุนและบริหารจัดการการผลิต คือ บริษัท Talisman Energy ซึ่งถือครองสิทธิ 65.4% โดยเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจ Shale Gas ในทวีปอเมริกาที่ผลิตก๊าซจาก Marcellus Shale กว่า 400 ล้าน ลบ.ฟ./วัน

นางสมฤดี กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าธุรกิจถ่านหินก็จะยังสร้างมูลค่าจากการเติบโตได้อีกมาก และการที่บริษัทเริ่มการลงทุนเพิ่มในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักสอดคล้องต่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ที่สำคัญเป็นการกระจายความเสี่ยงเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในการลงทุนด้วยการเข้าไปปักธงธุรกิจในสหรัฐฯ เพื่อสร้างสมดุลให้แก่กิจการต่างๆ ของบริษัทที่กระจายตัวอยู่แล้วในภูมิภาคเอเชียก่อนการบรรลุข้อตกลงทางธุรกิจนี้

“ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เราได้ทำ due diligence ตรวจสอบวิเคราะห์สถานะธุรกิจ และอุตสาหกรรมอย่างถี่ถ้วน จึงมั่นใจว่าการลงทุนครั้งนี้มีความเสี่ยงต่ำ เพราะเรามีปริมาณก๊าซสำรองที่มีการพิสูจน์และดำเนินการผลิตแล้ว มีตลาดที่มีการเติบโตสูง มีกฎระเบียบของรัฐบาลที่เอื้อต่อการดำเนินกิจการ มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และเชี่ยวชาญทั้งในด้านการบริหารจัดการและด้านการลงทุน อีกทั้งมีโอกาสรับการถ่ายทอดข้อมูล และความรู้ความชำนาญได้อย่างเต็มที่ และเรายังมีสัญญาที่แน่นอนในการรับซื้อก๊าซธรรมชาติจากตลาดในประเทศด้วย” นางสมฤดี กล่าว

นางสมฤดี กล่าวว่า ภาวะราคาน้ำมันและก๊าซที่กำลังปรับตัวลดลงอยู่ถือเป็นจังหวะที่ดีให้บริษัทได้ลงทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำ และมีแนวโน้มที่จะได้ผลตอบแทนที่สูง ณ วันนี้บริษัทได้ก้าวเข้าไปเริ่มการลงทุนธุรกิจการผลิตก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ ในพื้นที่ที่มีศักยภาพอย่างมาร์เซลลัส ซึ่งเอื้อต่อการขยายโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อ หรือขายกิจการในตลาดซึ่งมีสภาพคล่องที่ดี

กลยุทธ์ของบริษัทในครั้งนี้จะนำมาซึ่งการพัฒนาธุรกิจที่สร้างมูลค่าในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สำหรับธุรกิจต้นน้ำจะเน้นลงทุนกิจการก๊าซธรรมชาติจาก Shale Gas ในสหรัฐฯ ส่วนธุรกิจกลางน้ำบริษัทกำลังพิจารณาการจัดหาเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในกิจการเหมืองถ่านหินของบริษัท ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไปเป็นธุรกิจบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานพลังงานในระดับภูมิภาค

ด้านธุรกิจปลายน้ำ นอกจากลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงสูง และปล่อยมลพิษต่ำ (High Efficiency Low Emissions : HELE) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงแต่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำผ่าน บมจ.บ้านปูเพาเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือแล้ว บริษัทยังได้ประเมินศักยภาพของธุรกิจระบบจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ (Smart Energy) ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจการผลิตและบริการด้านพลังงานหลากหลายรูปแบบที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่ต่างๆ ได้ เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงระบบจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage System : ESS) และเทคโนโลยีพลังงานอื่นๆ เพื่อที่จะสามารถรองรับความต้องการด้านพลังงานของผู้บริโภคให้ได้ดีที่สุด ทั้งนี้ แผนธุรกิจและการกำหนดงบประมาณเบื้องต้นสำหรับกลยุทธ์ดังกล่าวจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/59

“เราจะพัฒนาธุรกิจระบบจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ โดยต่อยอดจากความรู้ด้านธุรกิจไฟฟ้าที่เราได้สั่งสมมาตลอด บ้านปูฯ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกธุรกิจไฟฟ้าในประเทศ และตอนนี้เรากำลังจะสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นอีกครั้ง นอกจากนั้น เรายังมีความตั้งใจที่จะพัฒนาความชำนาญในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจถ่านหิน ไม่ว่าจะเป็นลอจิสติกส์ การตลาด ตลอดจนการพัฒนาสินค้า และการขาย เพื่อให้สอดคล้อง และก้าวทันกับทิศทางของอุตสาหกรรมโภคภัณฑ์ ส่วนการลงทุนธุรกิจ Shale Gas นี้ ถือเป็นการขยายทักษะ และความชำนาญของเราในระดับต้นน้ำเพื่อนำไปสู่แนวทางธุรกิจใหม่ มีการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และเข้าไปลงทุนในภูมิภาคใหม่ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ใน DNA ของเรา” นางสมฤดี กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น