อสังหาฯ ปี 59 ยังเหนื่อยต่อ โตไม่เกิน 0-5% เหตุปัจจัยลบเพียบ ระบุไตรมาส 1 ได้อานิสงส์มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ บ้านประชารัฐ ผู้ประกอบการเร่งระบายสต๊อก คาดไตรมาส 2 ตลาดชะลอตัว โหมอัดแคมเปญเปิดโครงการใหม่รักษาเป้ายอดขาย
อสังหาริมทรัพย์ปี 2559 ยังเป็นโจทย์ยากอีกปีของผู้ประกอบการ เนื่องจากมีปัจจัยบวกเพียงไม่กี่อย่างท่ามกลางปัจจัยลบสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านของผู้บริโภคนั้น คือ ภาวะเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 ซ้ำยังได้รับผลกระทบเพิ่มจากปัญหาภัยแล้ง พื้นที่ทางการเกษตรได้รับผลกระทบ ทั้งยังกระทบไปยังตลาดส่งออกเนื่องจากสินค้าเกษตรถือเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วมถึงกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตขึ้น เพื่อเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะมาตรการกระต้นอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ระยะเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558-28 เมษายน 2559 ตามมาด้วยนโยบายบ้านประชารัฐที่รัฐบาลต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย และกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 1 ปี 59 ได้รับอานิสงส์ต่อเนื่องมาจากช่วงปลายปี 58 ที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ โดยในปี 58 ตลาดอสังหาฯ เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พิจารณาได้จากตัวเลขยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปี จำนวน 196,095 ยูนิต เติบโตขึ้น 13% จากปี 57 ที่มียอดโอน 174,061 ยูนิต
หากพิจารณาเป็นรายเดือนจะพบว่า ช่วงก่อนมาตรการยอดโอนเฉลี่ยที่ 15,000-17,000 ยูนิต/เดือน แต่เมื่อเดือนตุลาคมที่มีกระแสข่าวรัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นผู้บริโภคชะลอโอนกรรมสิทธิ์เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทำให้ยอดโอนลดมาอยู่ที่ 13,316 ยูนิต เดือนพฤศจิกายนที่เริ่มใช้มาตรการยอดโอนเพิ่มเป็น 22,332 ยูนิต และธันวาคม 27,968 ยูนิต จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้เชื่อว่าในช่วง 4 เดือนที่เหลือของมาตรการที่จะสิ้นสุดในวันที่ 28 เมษายน 59 นี้ ยอดโอนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2558 ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างมาก ทั้งปีมีจำนวน 99,309 ยูนิต โต 19% จากปี 57 หรือมีมูลค่าตลาดที่ 354,799 ล้านบาท โต 21% ในแง่ของมูลค่าที่โตมากกว่าสะท้อนสินค้ามีราคาแพงขึ้น
มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ถือเป็นการช่วยระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยที่ค้างอยู่ในตลาดให้สามารถระบายออกไปได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น เพราะสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลให้ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้บริโภคที่กำลังจะโอนบ้านได้อย่างมาก โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ผู้บริโภคซื้อเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะในปี 56 ที่ยอดขายคอนโดฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 190,471 ยูนิต ซึ่งคอนโดฯ เหล่านี้จะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 2-3 ปี หรือเริ่มทยอยโอนในปี 57-59
“การที่รัฐบาลออกมาตรการมาในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ช่วยให้ผู้บริโภคบางส่วนสามารถโอนบ้านได้ สินค้าไม่ต้องกลับมาเป็นสต๊อกของผู้ประกอบการต้องนำกลับมาขายอีกครั้ง” นายประเสริฐ กล่าว
จากแนวโน้มในปี 58 ที่ตลาดมีการเติบโตขึ้นจากมาตรการกระตุ้น จึงเชื่อว่าในไตรมาส 1 ของปีนี้ตลาดจะเติบโตไม้แพ้กัน เพราะนอกจากจะมีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่จะหมดอายุในวันที่ 28 เมษายนแล้ว รัฐบาลยังได้ออกโครงการบ้านประชารัฐ ที่ให้ผู้มีรายได้น้อยขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ทั้งบ้านเก่า และบ้านใหม่ โดยให้ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 40,000 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อโครงการวงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยผู้ซื้อจะต้องทำนิติกรรมจดจำนองภายใน 30-60 วัน เริ่มวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งโครงการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสต๊อกสินค้าราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทไปได้อย่างมาก โดยคาดว่าวงเงิน 40,000 ล้านบาท จะหมดภายใน 1 เดือน ซึ่งจะช่วยให้ยอดขายของผู้ประกอบการที่ได้อานิสงส์จากโครงการบ้านประชารัฐเพิ่มมากขึ้น
“โครงการบ้านประชารัฐถือเป็นโครงการ CRS ขนาดใหญ่มากวงเงิน 40,000 ล้านบาท ที่เป็นความร่วมมือของภาครัฐ และเอกชนในการช่วยผู้มีรายได้น้อยสามารถมีบ้านเป็นของตนเอง เพราะผู้ประกอบการต้องจ่ายค่าธรรมเนียม และส่วนลดรวมแล้วกว่า 5%” นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ภาพตลาดในไตรมาส 1 ของปีนี้ถือเป็นมหกรรมระบายสต๊อกของผู้ประกอบการ เพราะจะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ 5 รายแรกต่างออกแคมเปญใหญ่เพื่อขายสินค้า ซึ่งบางรายไม่เคยออกแคมเปญแรงๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ออกแคมเปญแห่งปี “BEST BUY MOMENT” บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ออกแคมเปญ “ช้าหมด อดมาตรการ” บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ส่งแคมเปญ “Ananda Big Deals” โปรฯ ด่วน..แรงทุกดีล ก่อนหมดมาตรการรัฐ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญ บ้านกลางเมือง LIMITLESS SPACE นวัตกรรมดีไซน์เพื่อพื้นที่ ... ที่ไม่จำกัด และบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญใหญ่ LH HAPPY FEST “ที่สุดของความพิเศษ…ของคนรักบ้านแลนด์” เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2 และช่วงครึ่งหลังของปี 59 เชื่อว่าจะไม่ชะลอตัวอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ ซึ่งจะทำให้ไตรมาส 2 ตลาดจะชะลอตัวอย่างมาก เพราะเชื่อว่าผู้ประกอบการจะมีแผนกระตุ้นยอดขายเตรียมไว้แล้ว เช่น การจัดแคมเปญแรงๆ เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อ และกระตุ้นยอดขาย การโหมเปิดโครงการใหม่เพื่อดึงกำลังซื้อในอนาคตโดยเฉพาะคอนโดฯ เพราะซื้อวันนี้จะโอนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จึงทำให้เชื่อว่าผู้ประกอบการจะยังสามารถรักษายอดขายไว้ได้
เชื่อไตรมาส 2-4 อสังหาฯ ยังโตได้
“ในช่วงไตรมาส 1 ผู้ประกอบการมีการระบายสต๊อกออกไปจำนวนมาก ได้เม็ดเงินมาลงทุนต่อในไตรมาส 2 และช่วงที่เหลือของปี ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการจะเร่งเปิดโครงการใหม่เพื่อขายฟิวเจอร์ ดีมานด์ เพราะซื้อคอนโดฯ วันนี้ไม่ได้โอนเลยแต่จะไปโอนอีกที่ 1-3 ปีข้างหน้า หลังจากที่ในไตรมาสแรกผู้ประกอบการไม่ได้เปิดโครงการใหม่มากนักเน้นระบายสต๊อกมากกว่า ที่เห็นเปิดตัวในช่วงต้นปีจะเป็นรายกลาง-รายเล็กเปิดโครงการใหญ่เพราะเห็นโอกาส แต่ในไตรมาส 2-4 จะเห็นการเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้น” นายประเสริฐ กล่าว
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปี 59 คาดว่า จะมีการเติบโตได้ประมาณ 0-5% มูลค่าตลาด 3.5-3.6 แสนล้านบาท หรือกว่า 1 แสนยูนิต ซึ่งอสังหาฯ ในปีนี้ถือเป็นพระเอก เพราะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้เพิ่มถึง 2.9 เท่า คิดเป็น 12-13% ของจีดีพี ซึ่งมูลค่าเพิ่มตกอยู่ในธุรกิจคนไทยถึง 90% โดยเซกเมนต์ที่มีการเติบโต ได้แก่ คอนโดฯ ระดับบนโตได้อย่างต่อเนื่อง ทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท และราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปที่อยู่ในทำเลในเมือง และบ้านเดี่ยวราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
หวั่นหมดมาตรการตลาดอสังหาฯ ชะลอหนัก
ด้าน นายวงศกร ประสิทธิ์วิภาต ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2 คาดว่าตลาดจะชะลอตัวลงอย่างน้อย 20-30% จากการที่กำลังซื้อในอนาคตถูกดึงให้มาซื้อในช่วงต้นปีเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่จะหมดอายุลงในวันที่ 28 เมษายนที่จะถึงนี้ ขณะที่ปัญหาต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การส่งออก ยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่กลับมีปัจจัยลบใหม่เพิ่มเข้ามา คือ ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร เมื่อภาคเกษตรซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักได้รับผลกระทบยิ่งซ้ำเติมปัญหาเดิมที่มีอยู่ อย่างไรก็ดี คาดหวังปัญหาภัยแล้งจะหมดลงในเร็วๆ นี้เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปี 2559 ตลาดอสังหาฯ จะสามารถเติบโตได้ราว 5% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนไตรมาส 1 ปีนี้ภาพรวมตลาดอสังหาฯมีการเติบโตที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว และถือว่าดีกว่าไตรมาส 4 ของปี 2558 ทั้งในส่วนของตลาดแนวราบ และคอนโดมิเนียม โดยพบว่า ลูกค้ามีการโอนกรรมสิทธิ์มากขึ้น อันเป็นผลมาจากมาตรการรัฐที่ออกมากระตุ้นอสังหาฯ ทำให้ผู้บริโภครีบเร่งในการซื้อ และโอนกรรมสิทธิ์ให้ทันในช่วงมาตรการรัฐที่จะสิ้นสุด อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการชะลอตัวของกำลังซื้อที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้บริษัทได้เตรียมแผนทำการตลาดทุกรูปแบบเพื่อกระตุ้นกำลังซื้ออีกรอบหนึ่ง ทั้งการออกแคมเปญแรงขึ้น การจัดอีเวนต์
ด้าน นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 ว่า ตลาดจะเกิดภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะหลังช่วงเดือนเมษายนที่มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จะสิ้นสุดลง ซึ่งมาตรการได้ดึงกำลังซื้อล่วงหน้าไปจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทจึงได้เตรียมแผนการดำเนินงานไว้รองรับภาวะตลาดที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยจะเร่งการสร้างยอดขาย โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของมาตรการ ทั้งการจัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
อสังหาฯ 59 อืด ลุ้นลงทุนเมกะโปรเจกต์ดัน ศก.ก่อนสิ้นปี
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เรนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า จากการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ไตรมาสแรกปี 59 พบว่า มีคอนโดเปิดใหม่ 6,973 ยูนิต เติบโตจากไตรมาสที่ 4 ของปี 58 กว่า 17% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ห้องชุดเกิดใหม่ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ถือว่าไม่สะท้อนภาพการฟื้นตัวตลาดและกำลังซื้อของลูกค้าว่ามีการฟื้นตัวได้ชัดเจน เนื่องจากไตรมาสที่ 4 ของปี 58 และไตรมาส 1/59 นั้นเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างเร่งระบายสต๊อกเก่าก่อนที่มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐจะหมดอายุลง และชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของคอนโดในไตรมาส 1/59 นี้ เกิดจากผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง และผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เห็นโอกาส และช่องว่างตลาดในช่วงนี้ เปิดโครงการใหม่ ทำให้ในไตรมาสนี้มีซัปพลายเข้าตลาดกว่า 2,202ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทำเลสุขุมวิท เป็นโครงการที่เปิดขายในระดับราคา 1-1.5 แสนบาทต่อ ตร.ม.มากที่สุดคือ ประมาณ 42%
นอกจากนี้ ยังพบว่าคอนโดมิเนียมราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ยังได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าระดับบน และชาต่างชาติ โดยปัจจุบันซัปพลายห้องชุดดังกล่าวมีอยู่ประมาณ 3,393 ยูนิต ขายไปแล้ว 65% ในปี 59 ผู้ประกอบการยังพัฒนาโครงการระดับบนออกมา แต่จะมีจำนวนที่ลดลงจากปีที่แล้ว เพราะยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ขณะที่ดีมานด์ในตลาดดังกล่าวถูกดูซับไปเป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้าแล้ว สังเกตได้จากยอดขายในบางโครงการที่เปิดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 58 ที่ทำยอดขายได้ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับโครงการก่อนหน้า โดยทำเลที่มีจำนวนโครงการระดับนี้มากที่สุด คือ สุขุมวิทที่มีอยู่ 40%
ปัจจุบัน ราคาที่ดินในแนวถนนสุขุมวิทมีราคามากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา (ตร.ว.) ทำให้โครงการที่มีราคาขายมากกว่า 250,000 บาทต่อ ตร.ม. ไปอยู่ในทำเลนี้มากที่สุด แต่อาจจะขายไปได้ประมาณ 57% เท่านั้น เพราะมีโครงการระดับราคาที่ต่ำกว่าในทำเลเดียวกันเปิดขายอยู่หลายโครงการ ขณะที่แต่ทำเลรอบๆ สวนลุมพินี สีลม และสาทร มียอดขายมากกว่า 75%
ขณะที่ตลาดบ้านจัดสรรยังขยายตัวได้ดี เพราะได้รับประโยชน์จากมาตรการภาครัฐมากกว่าคอนโดฯ ที่ใช้เวลาในการก่อสร้างนานกว่า โดยตลาดบ้านจัดสรรในช่วงไตรมาสแรกปี 59 ที่สร้างความหวือหวา เป็นบ้านราคาแพงราคาขายสูงกว่า 40 ล้านบาทต่อยูนิต ได้รับความสนใจมากขึ้นหลังจากที่คอนโดราคาแพงเข้ามาสร้างกระแสในการตลาด ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มทำตลาดบ้านระดับราคาเริ่มต้นที่ 40 ล้านบาทมากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีการเปิดบ้านระดับดังกล่าวอยู่แล้วก็ตาม
ทั้งนี้ ภาพรวมของบ้านในระดับราคาเริ่มต้นที่ 40 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ ณ ปัจจุบันมีเปิดขายอยู่ทั้งหมด 17 โครงการ 668 ยูนิต และขายไปได้แล้วประมาณ 61% ของจำนวนทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่า มีการตอบรับจากผู้ซื้อค่อนสูงแม้ว่าบ้านจะมีราคาขายเริ่มต้นที่ 40-160 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวบนที่ดินขนาด 60 ตร.ว.ขึ้นไป และในปี 58 เริ่มมีโครงการบ้านขนาดเล็กบนที่ดิน 30 ตารางวาในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทเปิดขายบ้างแต่จำนวนยูนิตมีไม่มาก
ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ 1/59 อาจจะไม่คึกคักเพราะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงชะลอตัว และผู้ประกอบรายใหญ่ต่างเร่งระบายสต๊อกคอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรรที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงที่รัฐบาลมีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้ข่าวการเปิดขายโครงการใหม่จากผู้ประกอบการรายกลาง รายเล็ก และรายใหม่มีมากกว่า รวมทั้งข่าวการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมในราคาแพงๆ ระดับมากกว่า 40 ล้านบาทขึ้นไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่หันมาเร่งเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะเป็นการลงทุนอย่างระมัดระวัง และไม่แข่งขันรุนแรง
ส่วนโครงการบ้านประชารัฐ ถือเป็นโครงการที่ช่วยให้ผู้ประกอบการได้ระบายสต๊อกบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งการที่ธนาคารผ่อนเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษจากปกติจะช่วยให้ผู้ที่ซื้อบ้านไปก่อนหน้านี้แล้วถูกปฏิเสธสินเชื่อ สามารถกู้ซื้อบ้านได้ ผู้ประกอบการก็ไม่ต้องนำบ้านกลับมาขายใหม่ เพราะลูกค้าในกลุ่มนี้อัตราปฏิเสธสินเชื่อสูง
“ต้องจับตาดูโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเห็นเป็นรูปธรรม เริ่มลงทุน หรือประมูลได้ทันกลางปีนี้หรือไม่ หากมีการลงทุน หรือประมูลได้ทันก็เชื่อว่าเม็ดเงินที่ลงทุนจะเข้าสู่ระบบจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันก่อนสิ้นปี แต่หากยังไม่มีการเริ่มโครงการความหวังที่จะให้เม็ดเงินลงทุนของภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจปี 59 ก็คงหมดไป” นายสุรเชษฐ์ กล่าว