xs
xsm
sm
md
lg

ลลิลฯ อัดโปรโมชัน เปิดโครงการใหม่รับมือตลาดชะลอตัว หลังหมดมาตรการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ชูรัชฏ์ ชาครกุล
“ลลิลฯ” เตรียมแผนรับมือภาวะตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวหลังหมดมาตรการ เร่งอัดโปรโมชัน ออกแคมเปญการตลาด เปิดโครงการใหม่หวังกระตุ้นยอดขาย เผยไตรมาสแรกยอดขายโต 20% เชื่ออสังหาฯ ปี 59 ยังโตได้ 5-10%

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 ว่า ตลาดจะเกิดภาวะการชะลอตัว โดยเฉพาะหลังช่วงเดือน เม.ย. ซึ่งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองที่จะสิ้นสุดลง ซึ่งมาตรการได้ดึงกำลังซื้อล่วงหน้าไปจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทจึงได้เตรียมแผนการดำเนินงานไว้รองรับภาวะตลาดที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยจะเร่งการสร้างยอดขาย โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของมาตรการ ทั้งการจัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ส่งผลให้ในไตรมาส 1 บริษัทสามารถทำยอดขายได้มากกว่าเป้าหมาย 20% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 840 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของยอดขายรวมในปีนี้ที่ตั้งไว้ 2,800 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากอานิสงส์มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐที่ทำให้ลูกค้ามีการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ได้รับผลบวกจากมาตรการค่อนข้างมาก อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลบวกต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงการที่บริษัทได้เปิดโครงการแนวราบใหม่ในไตรมาสแรก 1 โครงการ มูลค่า 800 ล้านบาท ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้สามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่วางเอาไว้ในไตรมาสแรก

ส่วนในไตรมาส 2 บริษัทเตรียมเปิดโครงการแนวราบใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 800-900 ล้านบาท จากแผนทั้งปี 2559 เปิดโครงการแนวราบ 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท ปัจจุบัน มีที่ดินรองรับแล้ว 4 แปลง ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท รองรับการพัฒนาในปีนี้และอนาคต

ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 750 ล้านบาท โดยจะมีการโอนในปีนี้ทั้งหมด ซึ่งบริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ไว้ที่ 2,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 2,009 ล้านบาท โดยรายได้ที่เข้ามาในปีนี้จะมาจากโครงการแนวราบเป็นส่วนใหญ่ หรือมีสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบในปีนี้อยู่ที่ 95% และส่วนที่เหลืออีก 5% เป็นคอนโดมิเนียม ส่วนกำไรในปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้ บริษัทมีคอนโดเหลือขาย 100 ยูนิต ก็คาดว่าจะขายหมดได้ภายในปีนี้

นายชูรัชฏ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมนั้นคงต้องดูโอกาส และภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้ในหลายทำเลอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัปพลาย แม้ว่าจะดีมานด์จะมีอยู่ แต่กำลังซื้อยังมีปัญหาจากหนี้ครัวเรือน และปัจจุบันบริษัทยังมีสต๊อกคอนโดมิเนียมเหลือขายอยู่ 100 ยูนิต มูลค่า 120-130 ล้านบาท ส่วนยอดปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะทรงตัวในระดับเดียวกันกับปีก่อนที่ 20-25% แต่เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่ระดับ 15-18% เนื่องจากหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้แก้ปัญหาด้วยการร่วมเป็นพันธมิตรกับธนาคารพาณิชย์ และตรวจสอบคุณสมบัติลูกค้าในเบื้องต้นก่อนยื่นกู้สถาบันการเงิน เพื่อทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อลดลง

ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ยังเชื่อว่าเติบโตได้ 5-10% แม้ว่าล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) เหลือขยายตัว 3.1% จากเดิมที่ขยายตัว 3.5% โดยปกติตลาดอสังหาริมทรัพย์จะขยายตัว 1.5-2 เท่าของจีดีพี ซึ่งในช่วงต้นปีตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังขยายตัวได้มากจากมาตรการของภาครัฐเป็นปัจจัยหนุน แต่จะเริ่มชะลอตัวลงหลังหมดมาตรการ ซึ่งผู้ประกอบการเองได้เตรียมแผนไว้รองรับด้วยการออกโปรโมชันมาเพื่อกระตุ้นยอดขายมากขึ้น รวมไปถึงการเปิดโครงการใหม่ๆ ที่จะเริ่มเปิดตัวมากในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาฯ ยังขยายตัวได้

นายชูรัชฏ์ กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก และนนทบุรี ว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 100% ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัย 14,000 ยูนิต แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10,000 ยูนิต และโครงการคอนโดมิเนียม 4,000 ยูนิต และคาดว่าจะมีจำนวนยูนิตที่เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต โดยเฉพาะคอนโดฯ เกาะไปกับแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง และชมพู และในส่วนของโครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี ที่ได้อนุมัติการลงทุนไปแล้วนั้น มองว่าไนอนาคตจะมีโครงการแนวราบเปิดตัวเพิ่มมากขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งการที่โซนกรุงเทพฯ ตะวันตก และนนทบุรีมีการเติบโตมากจึงเกิดการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้นใหม่ เช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่เซ็นทรัล เวสต์เกต และคอมมูนิตีมอลล์ ที่มีการเปิดกันค่อนข้างมากในทำเลดังกล่าว

“ลลิลก็เป็นเบอร์ 2 ของตลาดแนวราบไนโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก และนนทบุรี โดยมีโครงการในโซนนี้ 6 โครงการ จำนวน 900 ยูนิต มูลค่า 2,300 ล้านบาท ที่ยังเหลือขายอยู่” นายชูรัชฏ์ กล่าว



กำลังโหลดความคิดเห็น