xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ Q1/59 ตลาดหุ้นอาเซียนปรับตัวโดดเด่น ขณะที่ SET ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“รวงข้าว” ชี้ Q1/59 ตลาดหุ้นอาเซียนปรับตัวโดดเด่น โดยตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 10% สูงสุดในอาเซียน ซึ่งเป็นผลจากฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ แต่อาจมีความเสี่ยงจากความผันผวน และแรงเทขายทำกำไรในระยะสั้น แนะผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง

น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี-ณ วันที่ 28 มีนาคม 2559 ตลาดหุ้นของภูมิภาคอาเซียนในภาพรวมปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าในภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดในอาเซียน โดยตั้งแต่ต้นปีให้ผลตอบแทนประมาณ 10% รองลงมาได้แก่ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ให้ผลตอบแทนที่ 9.4%, ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ให้ผลตอบแทนที่ 4.8% และตลาดหุ้นมาเลเซีย ให้ผลตอบแทนที่ 3.6% (ข้อมูล ณ 28 มี.ค.2559)

น.ส.ธิดาศิริ กล่าวต่อไปว่า การที่ตลาดหุ้นอาเซียนปรับตัวได้ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องมาจากปัจจัยบวกของกระแสเงินทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดประเทศเกิดใหม่ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา รวมถึงตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนในภาพรวมปรับตัวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ตลาดได้มีการปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earnings Revision) ขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับต้นปี ส่วนตลาดมาเลเซีย และฟิลิปปินส์มีการปรับตัวเลขคาดการณ์ขึ้นประมาณ 0-1% ในขณะที่ตลาดไทย ตัวเลขการคาดการณ์มีการปรับตัวลดลงประมาณ 6%

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลักที่นักลงทุนควรต้องติดตามต่อเนื่อง คือ การทยอยประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากมีการปรับตัวได้ดีขึ้นกว่าที่คาด อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ออกมาส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในการประชุมครั้งถัดไป ซึ่งอาจส่งผลทำให้กระแสเงินทุนไหลกลับออกไปยังตลาดประเทศพัฒนาแล้ว นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังหากต้องการเข้าลงทุนในระยะสั้น ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดว่า ในปี 2559 นี้ ตลาดจะยังมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมองว่าในแง่ระดับราคาหุ้นในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาได้ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ระดับราคาปัจจุบันจึงไม่ได้ถูกมากนัก ทำให้อาจมีแรงเทขายทำกำไรในระยะสั้นได้

น.ส.ธิดาศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย มีกองทุนรวมที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ กองทุนเปิดเค อาเซียน อีโคโนมิค คอมมูนิตี้ หุ้นทุน (K-AEC) ซึ่งบริษัทได้เปิดเสนอขายครั้งแรกไปเมื่อเดือนกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2559 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ที่ 4.74% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.76% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค.59) ทั้งนี้ กองทุน K-AEC มีนโยบายลงทุนโดยตรงในหุ้นของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้น จะลงทุนในหุ้นจำนวนไม่เกิน 30 ตัว ที่มีสภาพคล่อง และศักยภาพในการเติบโตสูงของ 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน

สำหรับจุดเด่นของกองทุน K-AEC คือ การเข้าไปลงทุนโดยตรงในกลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้ทีมงานจัดการกองทุนมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมกิจการ และพบปะผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย ได้ส่งทีมผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์ รวมทั้งหมด 17 คน เพื่อเข้าไปศึกษา และวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มประเทศอาเซียนมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว โดยมีการวิเคราะห์หุ้นเชิงลึกในรายตัวครอบคลุมกว่า 150 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของมูลค่าตลาดในแต่ละประเทศ ทั้งนี้ การพิจารณาคัดเลือกหุ้นจะเน้นที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในระดับบริษัท (Bottom-up / Fundamental Approach) ทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพในการประเมินมูลค่าหุ้น (Stock Valuation) ตามธีมการลงทุนที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ในแต่ละช่วงด้วย ทั้งนี้ได้รวมเอาเรื่องการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี (Environment, Social and Governance) เข้ามาเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาลงทุนอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น