โฆษกฯ แจงสื่อนอกเสนอข้อมูลตัวเลขลงทุนไทยปี 58 หลังเว็บไซต์นิเคอิ ระบุต่างชาติเมินลงทุนในไทย 90% ลั่นเป็นข้อมูลเก่า ยันต่างชาติยังใช้ไทยเป็นฐานผลิต
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุข้อมูลตัวเลขลงทุนไทยที่สื่อนอกนำเสนอเป็นข้อมูลเก่า ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ด้านการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะในปีนี้รัฐบาลได้เพิ่มประเภทกิจการ และปรับสิทธิประโยชน์เพื่อให้เอื้อต่อการลงทุน
“จากการตรวจสอบข้อมูลโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบว่า ข้อมูลที่เว็บไซต์นิกเคอิชี้ต่างชาติเมินลงทุนในไทย 90% นำเสนอ เป็นตัวเลขมูลค่าการลงทุนในปี 58 และปี 58 เปรียบเทียบกับปี 57 ซึ่งไม่ใช่ข้อมูล ณ ปัจจุบัน รวมทั้งการนำตัวเลขทั้ง 2 ปีมาเปรียบเทียบกันนั้นอาจไม่ถูกต้อง เพราะหลักเกณฑ์การให้สิทธิมีความแตกต่างกัน ซึ่งการนำเสนอข่าวลักษณะนี้อาจเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ”
ทั้งนี้ ในปี 59 รัฐบาลได้เพิ่มประเภทกิจการ และปรับสิทธิประโยชน์เพื่อให้เอื้อต่อการลงทุน เช่น การส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ในกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม การยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี และลดหย่อนภาษี ร้อยละ 50 อีก 5 ปี สำหรับกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังเจรจากับผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลกเพื่อชักจูงให้มาตั้ง Technical Center ในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนสูง
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของประเทศต่างๆ ในช่วงต้นปีนี้ติดลบ เช่น จีน ติดลบ 25.4 สิงคโปร์ ติดลบ 20.7 อินโดนีเซีย ติดลบ 20.7 มาเลเซีย ติดลบ 19.7 ในขณะที่ไทย ติดลบ 9.3 ซึ่งยังถือว่าน้อยกว่าอีกหลายประเทศ ขณะที่แนวโน้มการลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน และสิงคโปร์ก็ยังมีทิศทางที่ดีอยู่
"ท่านนายกฯ เน้นว่า ไทยจำเป็นต้องยกระดับการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่แปลกใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมกับยืนยันว่า บริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ยังยืนยันที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิต”
โดยโตโยต้า มีแผนให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถไฮบริด อีซูซุ เน้นผลิตรถกระบะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและไฮบริด นิสสัน เน้นผลิตรถไฟฟ้าเพื่อส่งออก และฮอนด้า เน้นให้ไทยเป็นฐานการวิจัยและพัฒนารถยนต์ในภูมิภาค เป็นต้น จึงขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจการทำงานของรัฐบาลว่า จะสามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ ท่ามกลางภาวะที่กดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ท่านนายกฯ ได้ฝากไปยังสื่อมวลชนว่า ขอให้สื่อคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม หลีกเลี่ยงการรายงานข่าวที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของไทยในสายตานักลงทุน รวมทั้งได้กำชับไปยังเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้วิจารณญาณในการให้ข้อมูลแก่สังคม โดยนอกเหนือจากการให้ข้อเท็จจริงของไทยแล้ว ต้องให้ข้อเท็จจริงของประเทศอื่นๆ ประกอบไปด้วย เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ