MGR Online - “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ได้รับรายชื่อผู้มีอิทธิพลจากทุก บช.แล้ว ยอมรับมีนายพลสีกากีเอี่ยวผู้มีอิทธิพล เผยเรียกมาคุยแล้ว ย้ำหากตรวจสอบแล้วพบผิดจริงฟันไม่เลี้ยง ส่วนกรณีสั่งทุกหน่วยรายงานเหตุถึงรองนายกฯ ผ่าน “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” เรื่องปกติ
วันนี้ (11 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงภาพรวมการส่งรายชื่อผู้มีอิทธิพลจากทุกกองบัญชาการมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งครบกำหนดในวันนี้ว่า เบื้องต้นได้รับข้อมูลดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และคาดจะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนภายในสัปดาห์หน้า ขณะเดียวกันได้พูดคุยกับข้าราชการตำรวจยศนายพล ที่เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลใน 16 ฐานความผิดแล้ว โดยจากนี้ก็จะดำเนินการเอาผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา แต่จากการพูดคุยตำรวจยศนายพลยังให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมดังกล่าว แต่ต้องรอการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ก่อนหน้านี้อาจเป็นข้อมูลเก่า ปัจจุบันอาจเลิกยุ่งเกี่ยวไปแล้ว ขณะที่บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนที่ตนต้องเรียกมาคุยเองเพราะบางคนเป็นระดับ ผบช. หากระดับต่ำลงไป ผบช.เรียกมาคุยเองได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี ผบช.น.ยอมรับว่ามีตำรวจนครบาล 4 นายที่เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล ตรงนี้ได้มีการเรียกเข้ามาพูดคุยหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ตนไม่ได้ระบุว่ามี 4 คนและไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้การทำงานยากขึ้น แต่รับว่ายังรับราชการอยู่ หากมีความผิดจริงก็จะประสานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่ออายัดทรัพย์ นอกจากนี้จะดำเนินการทางวินัยและดำเนินคดี ส่วนตำรวจนอกราชการที่เกี่ยวข้องก็จะถูกดำเนินคดีอาญาเท่านั้น
ถามต่อว่าในส่วนของ ตร.จำเป็นต้องเรียกตำรวจที่ไปติดตามนักการเมืองกลับหน่วยหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ก็ต้องดู แต่เชื่อว่าทุกวันนี้ไม่มีแล้ว รวมถึงตำรวจที่ไปช่วยราชการติดตามบุคคลสำคัญต่างๆ ก็ต้องดูเหตุผลความจำเป็นว่าที่ไปแบบถูกต้องหรือไม่
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า สำหรับการดำเนินคดีกับผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองท้องถิ่นมีการบูรณาการทั้ง 3 ฝ่าย ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง โดยขั้นตอนในการดำเนินการกับผู้มีอิทธิพลนั้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะดำเนินการรวบรวมสำนวน และเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าการปราบปรามผู้มีอิทธิพลครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ต่อต้านคสช.แต่อย่างใด ซึ่งนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิได้ดำเนินการอย่างสักระยะแล้ว และตนไม่รู้สึกกังวลใจในการดำเนินคดีต่อข้าราชการตำรวจหรือนักการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
“ส่วนกล่าวถึงกรณีที่มีข้อสั่งการถึง ผบช.ทุกหน่วยเกี่ยวกับการรายงานเหตุอาชญากรรม อุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศที่ต้องแจ้งต่อผู้บังคับบัญชา โดยให้หัวหน้าหน่วยจะต้องรายงานเหตุเพื่อนำเรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผ่าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.ทท. กรณีนี้เป็นการบริหารงานปกติ ที่ผ่านมาก็ปฏิบัติแบบนี้มาโดยตลอด ในการรายงานแจ้งเหตุดังกล่าวก็จะต้องเรียนผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น คิดว่าในข้อสั่งการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติงานที่รวดเร็ว” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุ