รมว.คลัง คาดหวังธนาคารโลกจัดอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยดีขึ้น หลังปรับปรุงเข้มกว่า 3 เดือน ส่วนการณีธนาคารกลางยุโรปเพิ่มคิวอี มั่นใจไม่กระทบไทย ชี้บาทแข็งในรอบ 7 เดือน ยังไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง เพราะเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.4% และอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเป็น 80,000 ล้านยูโร โดยมองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย เพราะในขณะนี้ไทยมีการดูแลในเรื่องการคลัง ทั้งการลดอัตราภาษีเพื่อให้เกิดแข่งขัน และมาตรการต่างๆ ออกมา ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราแลกเปลี่ยนยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้
ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าไทยมีการดูแลเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างภาคการเงิน และการคลังได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ยังมองว่าการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปไม่มีผลกระทบเท่ากับของธนาคารกลางสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่กว่ามาก
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่ามาที่ 35.21 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนนั้น นายอภิศักดิ์ มองว่า ไม่น่าเป็นห่วงเพราะอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนได้ตามปกติ และที่สำคัญ ค่าเงินบาทยังแข็งค่าในทิศทางเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
รมว.คลัง ยังกล่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการทำงานภาครัฐ หรือ doing business โดยระบุว่า มีความคืบหน้ากว่าครั้งก่อนมากขึ้น โดยดำเนินการตามกรอบการทำงาน 10 ด้านที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ใช้เป็นเกณฑ์การพิจารณา โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมาย และลดขั้นตอนต่างๆ ในการจัดตั้งธุรกิจของเอกชนสะดวกขึ้น โดยมุ่งหวังให้ไทยมีภาพลักษณ์เป็นประเทศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ (Friendly Business Country) ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดการลงทุนระยะยาวได้
โดยสิ่งที่ได้ดำเนินการปรับปรุงมีหลายด้าน เช่น การจัดตั้งธุรกิจสามารถดำเนินการเสร็จภายใน 1 ขั้นตอน ผ่านระบบออนไลน์จากเดิมที่ต้องใช้ 3 ขั้นตอน การปรับปรุงกฎหมายกรมศุลกากร อำนวยความสะดวกการส่งออกเคลียร์สินค้าจาก 4 วัน เหลือเพียง 3 วัน พร้อมกันนี้ ยังจะมีการออก พ.ร.บ.การดำเนินธุรกิจ ทำให้เอสเอ็มอีสามารถนำสินค้าคงคลังมาเป็นตัวค้ำประกันได้ โดยจะมีการบังคับใช้ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 นี้เป็นต้นไป
รมว.คลัง กล่าวว่า ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2559 นี้ ธนาคารโลกจะส่งเจ้าหน้าที่มาประเมิน เชื่อว่าสิ่งที่คณะทำงานเร่งปรับปรุงใน 3 เดือนที่ผ่านมา จะทำให้อันดับของไทยดีขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 49 จาก 189 ประเทศ โดยหวังจะกลับมาติดอันดับ 1 ใน 30 ได้
ด้าน นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กกร.) ยืนยันภาคเอกชนมีความพอใจ และเป็นสิ่งที่ดีที่จะปรับปรุงการทำธุรกิจในเมืองไทยให้เกิดประโยชน์ และสะดวกมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เอกชนอยากเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นได้