ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หวังรายได้ปีนี้แตะ 4.5-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมหาโอกาสเข้าซื้อกิจการต่อเนื่อง เน้นสหรัฐฯ และยุโรป หวังต่อยอดธุรกิจขยายฐานลูกค้าเพื่อต่อยอดฐานการผลิต และฐานลูกค้า เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ใช้นวัตกรรมผลิตสินค้าใหม่ และเน้นขายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าบริการ ดันกำไรขั้นต้นพุ่ง
นายวาย ยัท ปาโก้ ลี รองผู้จัดการทั่วไป ด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 59 ที่ 4.5-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะเพิ่มเป็นระดับ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 63 โดยมาจากธุรกิจภายใน และการเข้าซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) โดยในธุรกิจเดิมก็จะขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม ขณะที่ก็มีความสนใจในประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอาเซียน ตะวันออกกลาง เป็นต้น รวมถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น จีน จากปัจจุบันตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักอยู่ มีสัดส่วนยอดขายที่ 42% รองลงมาเป็นยุโรปราว 29% ไทย 8% ญุ่ปุ่น 6% และอื่นๆ 14%
ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง และจะต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่ออาหารทะเลที่มีแบรนด์สินค้าติดตลาด และเกี่ยวเนื่องต่อธุรกิจของบริษัท หรือเป็นกิจการที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่เพื่อต่อยอดฐานการผลิต และฐานลูกค้า โดยมีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรป เพราะมีการซื้อขายกิจการอย่างมากในประเทศนั้นๆ
“เงินลงทุน M&A ไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ แต่จะเป็นการพิจารณาตามขนาดธุรกิจที่เข้าซื้อ แต่ขณะนี้เราอยากขยายด้านการตลาดส่วนมากเราคิดถึงแบรนด์ก่อน จึงมองโอกาสซื้อแบรนด์ที่มีตลาดอยู่แล้ว และเป็นตลาดที่เราอยากจะเข้าไป ขณะที่บางสินค้าแบรนด์ไม่ได้เป็นปัจจัยหลัก แต่ผู้จำหน่ายจะสำคัญ ซึ่งเราจะเน้นผู้นำเข้ารายใหญ่เป็นอันดับต้นๆ” นายวาย ยัท ปาโก้ ลี กล่าว
โดย TU เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ๆ หลายโครงการเพื่อใช้นวัตกรรมในการผลิตสินค้าใหม่ และเน้นขายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าบริการ (Service) คาดเริ่มในร้านอาหารที่สหรัฐฯ ก่อน ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) เพิ่มมาอยู่ที่ 16% จากปีก่อนอยู่ที่ 15.6% และคาดว่าในปี 63 จะเพิ่มเป็น 20%
สำหรับในปี 59 คาดว่าจะเติบโต 15-20% จากปีก่อนทำได้ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาจากการเติบโตของธุรกิจ 8-9% และจากถือหุ้นในบริษัท รูเก้นฟิช เอจี ในประเทศเยอรมนี 51% คาดสร้างรายได้ต่อปีราว 140 ล้านยูโร หรือ 6 พันล้านบาท ขณะที่ตั้งบลงทุนปีนี้ 3.5 พันล้านบาท เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเป็นเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสด
อย่างไรก็ดี แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกแม้ว่ายังคงชะลอตัวแต่ไม่กังวล เนื่องจากอาหารยังเป็นปัจจัยสำคัญของผู้บริโภคทั่วโลก และบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรให้เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีการขยายตลาดเพิ่มเติมอีก โดยคาดการณ์ผลผลิตกุ้งในปีนี้จะอยู่ที่ 3 แสนตันจากปีก่อน อยู่ที่ 2.1 แสนตัน เนื่องจากการแก้ปัญหาโรคกุ้งตายด่วนเริ่มดีขึ้น และราคาปลาทูน่าก็เริ่มปรับราคาขึ้น ปัจจุบัน ราคาปลาทูน่าอยู่ที่ 1,170 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นายวาย ยัท ปาโก้ ลี รองผู้จัดการทั่วไป ด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 59 ที่ 4.5-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจะเพิ่มเป็นระดับ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 63 โดยมาจากธุรกิจภายใน และการเข้าซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) โดยในธุรกิจเดิมก็จะขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม ขณะที่ก็มีความสนใจในประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอาเซียน ตะวันออกกลาง เป็นต้น รวมถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น จีน จากปัจจุบันตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักอยู่ มีสัดส่วนยอดขายที่ 42% รองลงมาเป็นยุโรปราว 29% ไทย 8% ญุ่ปุ่น 6% และอื่นๆ 14%
ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง และจะต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่ออาหารทะเลที่มีแบรนด์สินค้าติดตลาด และเกี่ยวเนื่องต่อธุรกิจของบริษัท หรือเป็นกิจการที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่เพื่อต่อยอดฐานการผลิต และฐานลูกค้า โดยมีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรป เพราะมีการซื้อขายกิจการอย่างมากในประเทศนั้นๆ
“เงินลงทุน M&A ไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ แต่จะเป็นการพิจารณาตามขนาดธุรกิจที่เข้าซื้อ แต่ขณะนี้เราอยากขยายด้านการตลาดส่วนมากเราคิดถึงแบรนด์ก่อน จึงมองโอกาสซื้อแบรนด์ที่มีตลาดอยู่แล้ว และเป็นตลาดที่เราอยากจะเข้าไป ขณะที่บางสินค้าแบรนด์ไม่ได้เป็นปัจจัยหลัก แต่ผู้จำหน่ายจะสำคัญ ซึ่งเราจะเน้นผู้นำเข้ารายใหญ่เป็นอันดับต้นๆ” นายวาย ยัท ปาโก้ ลี กล่าว
โดย TU เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ๆ หลายโครงการเพื่อใช้นวัตกรรมในการผลิตสินค้าใหม่ และเน้นขายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าบริการ (Service) คาดเริ่มในร้านอาหารที่สหรัฐฯ ก่อน ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) เพิ่มมาอยู่ที่ 16% จากปีก่อนอยู่ที่ 15.6% และคาดว่าในปี 63 จะเพิ่มเป็น 20%
สำหรับในปี 59 คาดว่าจะเติบโต 15-20% จากปีก่อนทำได้ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาจากการเติบโตของธุรกิจ 8-9% และจากถือหุ้นในบริษัท รูเก้นฟิช เอจี ในประเทศเยอรมนี 51% คาดสร้างรายได้ต่อปีราว 140 ล้านยูโร หรือ 6 พันล้านบาท ขณะที่ตั้งบลงทุนปีนี้ 3.5 พันล้านบาท เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเป็นเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสด
อย่างไรก็ดี แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกแม้ว่ายังคงชะลอตัวแต่ไม่กังวล เนื่องจากอาหารยังเป็นปัจจัยสำคัญของผู้บริโภคทั่วโลก และบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรให้เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีการขยายตลาดเพิ่มเติมอีก โดยคาดการณ์ผลผลิตกุ้งในปีนี้จะอยู่ที่ 3 แสนตันจากปีก่อน อยู่ที่ 2.1 แสนตัน เนื่องจากการแก้ปัญหาโรคกุ้งตายด่วนเริ่มดีขึ้น และราคาปลาทูน่าก็เริ่มปรับราคาขึ้น ปัจจุบัน ราคาปลาทูน่าอยู่ที่ 1,170 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน