เจดับเบิ้ลยูดี ปี 58 กำไร 333 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 132% หลังคุมต้นทุนการให้บริการ ค่าใช้จ่ายด้านการขาย และบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมรุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้านบอร์ดบริษัทฯ อนุมัติจ่ายปันผลเป็นหุ้นอัตรา 10 หุ้นสามัญเดิมต่อ 7 หุ้นปันผล ผู้บริหารระบุปี 59 ตั้งเป้าเติบโตไม่น้อยกว่าปีก่อน ขยับแผนรุกลงทุนขยายธุรกิจในอาเซียนต่อเนื่อง ตั้งเป้าภายใน 5 ปี เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศแตะ 25%
ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 58 มีกำไรสุทธิ 333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่มีรายได้รวม 2,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% ซึ่งเกิดจากรายได้ในธุรกิจต่างๆ มีอัตราเติบโตที่ดี เช่น ธุรกิจรับฝาก และบริหารสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็น และแช่แข็ง เติบโต 33.8% ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าในประเทศ และข้ามแดนเติบโต 24.9% ธุรกิจรับจัดการเอกสาร และข้อมูลอย่างครบวงจรเติบโต 13.1% ธุรกิจรับฝาก และบริหารสินค้าอันตรายมีอัตราเติบโต 9.8%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จด้านบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถควบคุมต้นทุนการให้บริการส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับสูงขึ้นเป็น 36.5% จากเดิม 35.3% ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการขาย และการบริหารต่อรายได้รวมลดลงเหลือ 16.6% จากเดิม 17.7% รวมถึงต้นทุนทางด้านโครงสร้างการเงินที่ปรับลดลง จากการชำระคืนหนี้ให้แก่สถาบันการเงิน ส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ 0.9 เท่า พร้อมทั้งรีไฟแนนซ์เงินกู้ ซึ่งส่งผลดีต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของ JWD ในธุรกิจได้ดีขึ้น
ส่วนผลการดำเนินในไตรมาส 4/58 มีรายได้รวม 607 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่มีกำไรสุทธิ 90.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 394% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดีนั้นเกิดจากบริษัทฯ มุ่งขยายธุรกิจให้บริการจัดการชิ้นส่วนยานยนต์เชิงรุกแบบ On-Site Service ภายในพื้นที่โรงงานผลิตยานยนต์ของลูกค้าซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ดี ขณะเดียวกัน ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ธุรกิจให้บริการจัดการเอกสาร และข้อมูลแบบครบวงจร รวมถึงธุรกิจรับฝาก และบริหารสินค้าอันตรายก็มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ จึงช่วยเกื้อหนุนให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ผลประกอบการในไตรมาส 4/57 มีการรับรู้ประมาณการด้อยค่าทางบัญชี ส่งผลให้ผลประกอบการเปรียบเทียบระหว่างไตรมาสมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จึงมีมติอนุมัติการจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2558 เป็นหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวนไม่เกิน 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในอัตรา (หุ้นเดิม:หุ้นปันผล) 10 ต่อ 7 หุ้นปันผล รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 210 ล้านบาท โดยกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิรับหุ้นปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 11 พฤษภาคม 2559 และจะโอนหุ้นปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2559
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD เปิดเผยว่า สำหรับเป้าหมายในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตไม่น้อยกว่าในปีก่อน โดยจะรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 35% ซึ่งการเติบโตจะมาจากโครงการใหม่ๆ ที่เตรียมทยอยเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ เช่น โครงการปรับปรุงพื้นที่ศูนย์รวมการเก็บ และกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ พื้นที่ 9,100 ตารางเมตร และโครงการปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าอันตราย พื้นที่ 6,900 ตารางเมตร ซึ่งทั้ง 2 โครงการอยู่ภายในเขตพื้นที่เขตท่าเรือแหลมฉบัง และพร้อมเปิดให้บริการในช่วงปลายไตรมาส 2 นี้
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารุกขยายธุรกิจในไทย และอาเซียนเพิ่มเติม โดยวางแผนลงทุนขยายธุรกิจในไทย พม่า สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทั้งในรูปแบบการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าที่มีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน การร่วมทุนขยายธุรกิจ และการเข้าควบรวมกิจการ (M&A) เบื้องต้น เตรียมงบลงทุนในปีนี้ 500-600 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมการระดมเงินทุนโดยนำสินทรัพย์มาเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือระดมเงินทุนด้วยวิธีการออกหุ้นกู้ รวมถึงพิจารณาการกู้เงินจากสถาบันการเงินรวมไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ขยายการลงทุนสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทฯ ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
“การเปิด AEC ทำให้เกิดการลงทุนขยายฐานการผลิตในอาเซียนเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดความต้องการผู้ให้บริการด้านลอจิสติกส์ในแต่ละประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ดีของ JWD ในการรุกขยายธุรกิจเพื่อผลักดันความสำเร็จด้านผลการดำเนินงานให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือปี 2563 จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปัจจุบัน 8%” นายชวนินทร์ กล่าว