“คลัง” มอบนโยบาย “สรรพสามิต” เร่งศึกษาแนวทางจัดเก็บรายได้ภาษีเพิ่มอีก 8 แสนล้าน ภายใน 5 ปี ส่งซิกเพิ่มภาษีสินค้าผสมน้ำตาลมากจนทำลายสุขภาพ ขณะที่ “ธนารักษ์” ยกเครื่องปรับค่าเช่าที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ครั้งใหญ่รอบ 30 ปี หวังดันรายได้เพิ่มอีกพันล้านบาท
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เข้าตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายแก่กรมสรรพสามิต เพื่อวางแผนจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้เติบโตขึ้น หลังจากไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2559 สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย แต่กระทรวงคลังต้องการให้กรมฯ เร่งวางแนวทางการเพิ่มรายได้ภาษีในระยะยาวภายใน 5-10 ปี เติบโต 8 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่จัดเก็บได้ 4 แสน 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งกรมฯ จะต้องนำกลับมาเสนอภายใน 2 เดือน ก่อนที่จะเสนอให้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาอีกครั้ง
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางการเพิ่มรายได้ภาษีสรรสามิตอาจจะขยายฐานภาษีไปยังสินค้าประเภทต่างๆ เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในสินค้าบางชนิดที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ร้อยละ 7 โดยยอมรับว่า ได้ศึกษาการจัดเก็บภาษีที่ทำลายสุขภาพ เช่น อาหาร หรือเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล หากศึกษาว่ามีการผสมน้ำตาลมากจนทำลายสุขภาพก็สามารถที่ขจะยายฐานเพิ่มภาษีได้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังให้กรมสรรพสามิตวางแนวทางบริหารการใช้งบประมาณในกองทุนส่งเสริมการส่งออกของผู้ประกอบการตามแนวชายแดน วงเงิน 200 ล้านบาท โดยจะใช้เงินภาษีสรรพสามิตใส่ในกองทุน เพื่อต้องการส่งเสริมการส่งออกของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามแนวชายแดน เพราะเมื่อส่งออกสินค้าแล้วจะได้รับการคืนเงิน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
รวมถึงยังให้กรมสรรพสามิตปฏิรูปการทำงานของเจ้าหน้าที่ของกรมฯ เช่น การใช้ภาษาต่างประเทศ โครงการการขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน สร้างความโปร่งใสในการองค์กร คาดว่าจะเริ่มโครงการภายในวันที่ 1 มีนาคม 2559 พร้อมทั้งปราบปรามการลักลอบหนีภาษีสรรพสามิต และศึกษาระบบลดความซ้ำซ้อนในการทำเอกสารสรรพสามิตเพื่อลดต้นทุนให้แก่ผู้เสียภาษี เชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยทำให้การจัดอันดับการทำธุรกิจในประเทศ หรือ doing of business ในไทยดีขึ้น
ส่วนกรณีการนำเข้ารถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ยืนยันว่า มีความพร้อมเข้าไปตรวจสอบ เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอประสานความร่วมมือในการขอข้อมูลมา แต่การจะเข้าไปตรวจสอบภาษีสรรพสามิต จะต้องรอให้คดีถึงที่สิ้นสุดก่อน จากนั้นจึงจะใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตเข้าไปประเมินมูลค่า โดยกรมศุลกากรจะเป็นหน่วยงานที่เข้าไปจัดเก็บภาษีแทน และยืนยันไม่ปกป้องผู้ที่กระทำผิด หากพบว่าเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตมีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวพร้อมจะลงโทษตามกฎหมายอย่างแน่นอน
ด้าน นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมเตรียมปรับราคาเช่าที่ราชพัสดุในเชิงพาณิชย์ใหม่ ซึ่งจะอิงกับราคาประเมินที่ดินใหม่ที่คำนวณรวมกับราคาตลาด โดยกรมได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจที่ราชพัสดุ 12.5 ล้านไร่ทั่วประเทศ เพื่อรายงานภาพรวมการใช้พื้นที่ทั้งหมด คาดว่าได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.พ.นี้ เบื้องต้น จะปรับราคาค่าเช่าที่ดินเชิงพาณิชย์ก่อน ส่วนที่เช่าเพื่ออยู่อาศัย และทำการเกษตรยืนยันว่ายังไม่มีการปรับราคาค่าเช่า
“กรมธนารักษ์มีที่ดินถึง 12.5 ล้านไร่ แต่มีรายได้แค่ 5 พันล้านบาทต่อปี ถ้าเป็นเอกชนคงมีรายได้ปีละ 4-5 หมื่นล้านบาทแล้ว ซึ่งค่าเช่าที่เชิงพาณิชย์บางแปลงไม่เคยปรับราคามาตั้งแต่ปี 2527 หรือกว่า 30 ปี” นายจักรกฤศฏิ์ กล่าว
สำหรับปี 2558 กรมมีรายได้ราว 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากค่าเช่าที่ราชพัสดุ 4 พันล้านบาท และรายได้จากเหรียญกษาปณ์อีกกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งประเมินว่าการปรับราคาเช่าที่ดินเชิงพาณิชย์จะทำให้รายได้จากค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้นอีก 25% หรืออีก 1 พันล้านบาทในปีนี้ ส่วนแผน 5 ปี คาดว่ารายได้ของกรมจะเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ กรมจะปรับระเบียบเรื่องการเช่าที่ในเชิงพาณิชย์ใหม่ เพราะสัญญาในรูปแบบเดิมมีปัญหามาก และเปิดให้ใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน กลายเป็นช่องโหว่ทำให้เอกชนได้ครอบครองที่ดินเกินจริง เช่น สัญญาเดิมจะกำหนดสัญญาเช่าที่ดินจะเริ่มเดินต่อเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทำให้เอกชนบางรายยื้อการก่อสร้างนานเป็น 10 ปี โดยสัญญาใหม่จะเลิกข้อกำหนดเหล่านี้ ต่อไปใครได้เช่าครบ 30 ปี ต้องคืนที่ให้กรมทันที หรือถ้าจะต่อสัญญาใหม่ต้องทำให้อย่างเป็นทางการ