เพชรบุรี - ชาวอำเภอสวนผึ้ง และอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี รวมตัวร้องศาลปกครองเพชรบุรี ขอความเป็นธรรมกรณีกรมธนารักษ์ออกพื้นที่ราชพัสดุไม่ชอบด้วยกฎหมาย 5 แสนไร่ ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (11 ส.ค.) ที่ศาลปกครองเพชรบุรี อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ชาวบ้านจาก อ.สวนผึ้ง และ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี กว่า 100 คน โดยมี นายสกล คุณาพิทักษ์ ประธานกลุ่มเรียกร้องสิทธิที่ทำกิน อ.สวนผึ้ง และนายอธิวัฒน์ ชิณโชติวรสิทธิ์ รองประธานฯ เป็นแกนนำ ได้เดินทางมายื่นหนังสือให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ 98/2558 โดยมี นายสกล คุณาพิทักษ์ ประธานกลุ่มเรียกร้องสิทธิที่ทำกิน อ.สวนผึ้ง พร้อมผู้ฟ้องรวม 18 ราย ได้ยื่นฟ้องกรมธนารักษ์ จำเลยที่ 1 ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี จำเลยที่ 2 และธนารักษ์พื้นที่จังหวัดราชบุรี จำเลยที่ 3
โดยมีรายละเอียดพร้อมรายชื่อฟ้องทั้งหมดแนบท้าย รวมทั้งรายชื่อชาวบ้านแนบท้าย จำนวน 1,616 คน เพื่อขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาว่า กรมธนารักษ์ที่นำที่ดินฝั่งซ้ายของแม่น้ำภาชี อ.สวนผึ้ง ไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุ แปลงเลขที่ รบ.553 รวมทั้งการใช้ดุลพินิจ กำหนดให้เป็นที่ดินราชพัสดุเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยยกเลิกการใช้อำนาจการครอบครองที่ดินดังกล่าว และยกเลิกการขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ
และขอให้พิจารณาพิพากษาว่า การกระทำทางปกครองของผู้ถูกฟ้องที่ 2 คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี โดยเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการอาศัยอำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากเอกสารการสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัด และธนารักษ์พื้นที่ราชบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยวิธีการบังคับข่มขู่ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดนำที่ดินของตนเองไปมอบให้ธนารักษ์พื้นที่จังหวัดราชบุรี และให้ผู้ฟ้องคดีเช่าต่อไป เป็นการกระทำทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยกเลิกการกระทำดังกล่าว
ขอให้พิจารณาพิพากษาว่า ยกเลิกการออกประกาศจังหวัดราชบุรี ที่มีหนังสือจากผู้ฟ้องที่ 2 และที่ 3 ทุกฉบับ ที่ส่งถึงผู้ฟ้องคดี โดยใช้อำนาจทางปกครองเกี่ยวกับที่ดินราชพัสดุ เป็นเอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้อำนาจแก่ผู้ฟ้องทั้ง 2 ให้ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ส่งคืนสิทธิการครอบครองที่ดินแก่ผู้ฟ้องคดี ในกรณีผู้ฟ้องคดีบางคนสำคัญผิด คิดว่าผู้ถูกฟ้องทั้ง 3 เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการครอบครองที่ดิน จึงได้มอบที่ดินให้ และยินยอมจ่ายค่าเช่าตามกฎเกณฑ์ของผู้ถูกฟ้องทั้ง 3 รวมทั้งขอให้ศาลปกครองพิจารณาว่า การกระทำทางปกครองดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ขอให้ศาลพิพากษาว่า กรณีผู้ถูกฟ้องที่ 3 กำหนดกฎเกณฑ์ว่า หากผู้ฟ้องคดีนำคดีขึ้นสู่ศาล และแพ้คดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จะยุติให้เช่าที่ดินราชพัสดุนั้นเป็นระเบียบกฎเกณฑ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นหน่วยงานรัฐมีหน้าที่ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ในการบริการประชาชน และช่วยเหลือประชาชน การมีระเบียบกฎเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการรอนสิทธิโดยชอบของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิโดยชอบทางศาล และขัดหลักกฎหมาย ให้ยกเลิกเอกสารข้อสั่งการ หรือระเบียบดังกล่าว
ขอให้ศาลปกครองมีมาตรการบรรเทาทุกข์แก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากได้มีหนังสือจากผู้ถูกฟ้องที่ 2 กำหนดให้ผู้ฟ้องคดีไปมอบที่ดินให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และไปเช่าที่ดินของตนเองจากผู้ถูกฟ้องที่ 3 ภายในวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 หากไม่เช่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นความเดือดร้อนเสียหายเฉพาะหน้า เพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ฟ้องคดี จึงเห็นสมควรให้ศาลปกครองมีมาตรการให้ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ระงับยับยั้งการกระทำจนกว่าศาลจะพิพากษาคดี ยกเว้นกรณีที่ดินที่มีการบุกรุกอย่างชัดเจน
และขอให้ศาลบรรเทาทุกข์แก่ผู้ฟ้องคดีโดยงดจ่ายค่าเช่าที่ราชพัสดุแก่ผู้ถูกฟ้องที่ 3 จนกว่าข้อโต้แย้งจะสิ้นสุดตามคำพิพากษาของศาลปกครอง ตลอดจนยุติการดำเนินงานของผู้ถูกฟ้องที่ 3 ในการกำหนดให้ผู้ฟ้องนำที่ดินไปมอบให้ และจ่ายค่าเช่า เนื่องจากการดำเนินงานมีลักษณะใช้ความรุนแรงไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์โดยชอบด้วยกฎหมาย
โดยมี นายสุรินทร์ อินทรรัตน์ ผู้อำนวยการกลุ่มสนับสนุนและบังคับคดีปกครอง ศาลปกครองเพชรบุรี เป็นผู้รับมอบเอกสารการฟ้องทั้งหมด พร้อมทั้งกล่าวแก่ผู้ฟ้อง และชาวบ้านที่เดินทางมาด้วยว่า หลังจากนี้จะดำเนินการตามขั้นตอนของศาล ซึ่งจะต้องให้ความเป็นธรรมทั้งผู้ฟ้อง และผู้ถูกฟ้อง ขอให้ผู้ฟ้อง และชาวบ้านติดตามการพิจารณาต่อไป
ด้าน นายอธิวัฒน์ ชิณโชติวรสิทธิ รองประธานกลุ่มเรียกร้องสิทธิที่ทำกิน อ.สวนผึ้ง กล่าวว่า เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นมาร่วม 30 ปี กรณีชาวบ้านใน อ.สวนผึ้ง และ อ.จอมบึง ที่ถูกการปฏิบัติที่ไม่ถูกของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ เพราะหลังจากที่ตรวจสอบข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้วเห็นว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เสียหายอย่างมาก
ความเดือดร้อนดังกล่าวได้มีการยื่นร้องขอความเป็นธรรมไปสู่กระบวนการต่างๆ ในการพิจารณาของฝ่ายปกครอง ไม่ว่าจะเป็นกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง สตช. กระทรวงมหาดไทย หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ หรือการเยียวยาแก้ไขที่ชอบธรรม และถูกต้อง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังถูกกระทำตลอด ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทนได้อีกต่อไป จึงได้รวบรวมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาสู่กระบวนการของศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อผู้เดือดร้อนทั้ง 2 อำเภอ
ความเดือดร้อนแรก จากที่กรมธนารักษ์ ได้นำที่ดินใน อ.สวนผึ้ง ที่ชาวบ้านได้ครอบครองมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ สมัยราชกาลที่ 5 โดยชาวบ้านได้ครอบครองอยู่มาก่อนที่จะมีกฎหมายต่างๆ เกิดขึ้น แต่ปรากฏว่า ทางกรมธนารักษ์ได้นำพื้นที่ของราษฎรทั้งหมดไปเป็นพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งทางกระทรวงการคลัง เคยมีหนังสือสอบถามไปที่กฤษฎีกาให้มีความเห็นกรณีพื้นที่พระราชกฤษฎีการพื้นที่หวงห้าม พ.ศ.2481 ว่า กรณีที่ทหารไม่ได้ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่
ซึ่งทางกฤษฎีกาก็มีความเห็นไว้ชัดเจนว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่ที่ราชพัสดุ จากการที่ทหาร และกรมธนารักษ์ ได้นำพื้นที่ดังกล่าวไปเป็นที่ราชพัสดุ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะหน่วยงานของรัฐไม่ได้เข้าไปครอบครอง หรือใช้ประโยชน์ ซึ่งความเห็นของกฤษฎีกาหน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตามเพราะจะผูกพันต่อองค์กรของรัฐทุกองค์กร และมีมติของคณะรัฐมนตรีในปี 2482 ว่าเมื่อกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ได้มีความเห็นไปที่กฤษฎีกา เมื่อกฤษฎีการมีความเห็นอย่างไรแล้วทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตามนั้น
แต่กรมธนารักษ์เองไม่ได้ปฏิบัติตามมติดังกล่าว จึงถือว่าการกระทำของกรมธนารักษ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ชาว อ.สวนผึ้ง และ อ.จอมบึง ที่ได้รับความเดือดร้อนได้รวมตัวกันมาขอความเป็นธรรมจากศาลปกครอง และมีชาวบ้านเดินทางมาร่วม 400 คน ทั้งๆ ที่ก่อนเดินทางได้ถูกสกัดจากเจ้าหน้าที่รัฐ
ความเดือดร้อนไม่ใช่เฉพาะกรมธนารักษ์เอาพื้นที่ของชาวบ้านไปเป็นพื้นที่ราชพัสดุ แต่เมื่อชาวบ้านจะเข้าไปทำมาหากินในพื้นที่ครอบครองของตนเองก็ถูกจับถูกดำเนินคดี ยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากมีคดีความค้างคาอยู่ในกระบวนการของศาลยุติธรรม
โดยพื้นที่ที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนทั้ง 2 อำเภอ ที่กรมธนารักษ์ประกาศเป็นพื้นที่พัสดุมีอยู่ 500,000 กว่าไร่ มีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนทั้งหมด 28 หมู่บ้าน ใน 5 ตำบล และจากพยานหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดมั่นใจว่า การออกพื้นที่ราชพัสดุของหน่วยงานรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย