“แอล.พี.เอ็น.ฯ” เผยผลประกอบการปี 58 บริษัทสามารถส่งมอบโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จรวม 7 โครงการ โดย 4 โครงการ มูลค่าหมื่นล้านบาท ลูกค้ารับมอบห้องชุดเกือบ 100% หนุนนำให้รายได้หลักเพิ่มเป็น 16,627.71 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 29.22 กำไรสุทธิ 2,413.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 400 ล้านบาท เพิ่มร้อยละ 19.39 ชี้กลยุทธ์เพิ่ม Product Value ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 31.10 เสนอขอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ผู้พัฒนาอาคารชุดพักอาศัยในเมืองเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่พักอาศัยสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้ในระดับกลาง ถึงกลาง-ล่าง ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ (Affordable Home) ด้วยประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 20 ปี บริษัทเชื่อมั่นว่าแผนงานต่างๆ ที่วางแผนไว้จะบรรลุตามเป้าหมาย และยังคงรักษาการเติบโตของผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 บริษัทได้รับรางวัลต่างๆ จำนวนรวม 5 รางวัล นับเป็นอีกปีแห่งความสำเร็จในมิติคุณค่าของบริษัทบนรากฐานของการเติบโตอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการรับผิดชอบในการดำเนินงานทุกกระบวนการ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อสร้างเส้นทางมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์กร
การวางแผนการรับรู้รายได้ในปี 2558 บริษัทได้จัดทำแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ให้มีความสอดคล้องต่อสถานการณ์เศรษฐกิจพร้อมส่งมอบโครงการที่สร้างแล้วเสร็จรวม 7 โครงการ และบริษัทย่อยอีก 2 โครงการ โดยมี 4 ใน 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ที่ลูกค้ารับมอบห้องชุดเกือบ 100% รวมถึงโครงการพร้อมอยู่ของบริษัทที่สร้างแล้วของปีก่อน ทำให้บริษัทสามารถทำรายได้หลักทั้งปี 2558 จำนวน 16,627.71 ล้านบาท มากกว่าปี 2557 ที่มียอด 12,867.10 ล้านบาท หรือสูงขึ้นร้อยละ 29.22
อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปียังส่งผลต่อยอดขาย และยอดโอนไม่สูงมาก แต่โครงการพร้อมอยู่ไปได้ดี สามารถปิดโครงการเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 12,300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายรอโอนปี 2559 ประมาณ 12,000 ล้านบาท และยอดขายรอโอนปี 2560 ประมาณ 300 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 58 บริษัท และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 391.98 ล้านบาท จาก 2,021.42 เป็น 2,413.40 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.39 เนื่องจากในปี 2558 มี 9 โครงการที่สร้างแล้วเสร็จ ทั้งส่วนของบริษัท และบริษัทย่อย ทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 3,660.16 ล้านบาท จาก 12,321.09 เป็น 15,981.26 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.71 รวมถึงสามารถติดตามการส่งมอบห้องชุดในโครงการเดิม และจากการที่บริษัทได้เพิ่ม Product Value ในการอยู่อาศัยอย่างครบถ้วน มีผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 31.10 ซึ่งสูงกว่านโยบายการเงินที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.64 บาท จาก 1.37 บาทในปี 57 เพิ่มขึ้น 19.34%
บริษัทมีสินทรัพย์รวมลดลง 158.39 ล้านบาท จาก 19,783.69 เหลือ 19,625.30 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.80 สาเหตุหลัก คือ
1.การลดลงของที่ดิน และต้นทุนโครงการระหว่างก่อสร้าง จำนวน 818.58 ล้านบาท จาก 11,521.76 ล้านบาท เหลือ 10,703.18 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 7.10 จากโครงการต่างๆ ทยอยสร้างเสร็จ และส่งมอบตามแผนงาน
2.เงินมัดจาค่าที่ดินลดลง 2 แปลง ได้แก่ ที่ดินแปลงเทพารักษ์ และแปลงแจ้งวัฒนะ-ติวานนท์ เนื่องจากได้นำมาพัฒนาตามแผนแล้ว
ส่วนหนี้สินรวมลดลง 1,331.26 ล้านบาท จาก 9,375.31 เหลือ 8,044.05 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 14.20 เนื่องจากโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามเป้าหมาย จึงนำเงินไปชำระคืนหนี้ให้แก่สถาบันการเงินโดยลดลง 1,426.46 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 21.71
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 0.63:1 เหลือ 0.44:1 และ 0.90:1 เหลือ 0.69:1 ณ 31 ธันวาคม 2557 และ 2558 ตามลาดับ
ด้านกระแสเงินสดงวดสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2558 ลดลง 289.11 ล้านบาท จาก 1,047.35 เป็น 758.24 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27.60 เนื่องจากนำเงินไปคืนเงินกู้ข้างต้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 ได้มีมติเสนอให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปีสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2558 ในอัตราหุ้นละ 0.90 บาท (เก้าสิบสตางค์) ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท (สามสิบสตางค์) ในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2558 ดังนั้น ส่วนที่เหลือจะจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท (หกสิบสตางค์) โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2559 ทั้งนี้ การให้สิทธิดังกล่าวของบริษัทยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากต้องรออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น