เมย์แบงก์ เผยบทวิเคราะห์แนะนักลงทุนขายทำกำไรหุ้นบิ๊กซี ชี้ราคาพุ่งขึ้นมาไกลแล้ว แนะจับตากลยุทธ์ของ TCC หลังจบดีลเข้าซื้อกิจการ
น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวในบทวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุน ของ บมจ.บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ หรือ BIGC ว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 4/2558 ที่เพิ่มขึ้น 59% เทียบระหว่างไตรมาส เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซัน แต่ลดลง 15% เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วเป็น 2,137 ล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดไว้ และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เล็กน้อย เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าที่ประเมินไว้ อีกทั้งแม้มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายลดลง 3% เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า จากการที่ SSSG -4.8% ตามการอุปโภคบริโภคในต่างจังหวัดซึ่งกำลังซื้อของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 16.9% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2557 มาที่ 13.9% เนื่องจากสัดส่วนยอดขายกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหารลดลง และมีการจัดกิจกรรมการตลาดมากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย อย่างไรก็ตาม จากการที่กำไรสุทธิปี 2558 เท่ากับ 6,898 ล้านบาท ถึงแม่ว่าจะปรับตัวลดลงถึง 5% แต่บริษัทยังสามารถประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตรา 2.62 บาท/หุ้น โดยจะประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 4 เมษายนนี้ ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.1%
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1 ของปีนี้ คาดว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวลดลงลดลงเทียบระหว่างไตรมาสตามทิศทางของฤดูกาล แต่จะฟื้นตัวเทียบกับปีก่อนหน้าจากการที่คาดว่า SSSG จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น (แต่คาดว่ายังติดลบเนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว) การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และการมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นหลังจากการปรับเปลี่ยนพื้นที่ขายในบางสาขาให้เป็นพื้นที่เช่า
ทั้งนี้ คำแนะนำการลงทุนของ MBKET มองว่า จากการที่ TCC Corporation ได้ทำสัญญาซื้อหุ้น BIGC 58.56% จากกลุ่มคาสิโน และจะต้องทำ Tender Offer หุ้น BIGC ทั้งหมด ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกินราคาเป้าหมาย (DCF) ตามที่ MBKET ได้ประเมินไว้ที่ 220 บาท จึงแนะนำนักลงทุนขายทำกำไรที่ระดับราคาใกล้เคียงราคาขาย โดยคาดว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นมา และทรงตัว และอาจจะต้องจับตาดูจนกว่าการเจรจาซื้อขายกิจการจะเสร็จเรียบร้อย และแนวโน้มกลยุทธ์ทางธุรกิจของ TCC จากนโยบายหลักในการทำการตลาดว่าจะส่งต่อผลการดำเนินงานของ BIGC ในอนาคตอย่างไร