“ไทยคม” ประกาศผลประกอบการปี 2558 มีกำไรสุทธิ 2,122 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 521 ล้านบาท หรือ 32.5% จากการใช้งานดาวเทียมไทยคม 7 เต็ม 100% และการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ ในขณะที่มีกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการ 794 ล้านบาท ลดลง 224 ล้านบาท หรือ 22% เนื่องจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และการด้อยค่าของเงินลงทุนของบริษัทย่อยในประเทศออสเตรเลีย พร้อมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.65 บาท/หุ้น
นายไพบูลย์ ภานุวัฒนวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม หรือ THCOM กล่าวว่า ปี 2558 เป็นปีที่บริษัทสามารถสร้างรายได้จากการขาย และบริการได้ 12,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 560 ล้านบาท หรือ 4.7% จากปีก่อน โดยมีกำไร 2,122 ล้านบาท จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจดาวเทียม โดยเฉพาะจากธุรกิจบรอดคาสต์ที่มีการเติบโตของจำนวนช่องรายการโทรทัศน์บนดาวเทียมไทยคมเพิ่มขึ้นจาก 702 ช่อง เป็น 792 ช่อง (เป็นช่อง HD จำนวน 126 ช่อง) อีกทั้งมีการใช้งานดาวเทียมไทยคม 7 เต็ม 100% และยังมีความต้องการใช้งานบนดาวเทียมไทยคม 8 อีกมาก ซึ่งจะถือเป็นการเติบโตที่ชัดเจนอีกครั้งของช่อง HD
“นับจากนี้ ไทยคม จะยังมุ่งเติบโตทั้งในธุรกิจดาวเทียม และการให้บริการแบบครบวงจรสำหรับลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยจะเดินหน้าในโครงการดาวเทียมไทยคม 8 ซึ่งมีกำหนดจะส่งขึ้นสู่วงโคจรในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ พร้อมศึกษาความเป็นไปได้สำหรับดาวเทียมไทยคม 9 และดวงต่อไปเพิ่มเติม”
นอกจากนี้ ไทยคมสามารถบริหารจัดการธุรกิจรอง และธุรกิจในต่างประเทศเพื่อสร้างผลกำไรเพิ่มเติม โดยกลุ่มธุรกิจในเครือ บมจ.ซีเอส ล็อกซอินโฟ หรือ CSL ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตของรายได้จากการให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายวงจรเช่า (Leased Line) และการให้บริการศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Internet Date Center : IDC) ส่วนบริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด หรือ LTC ที่ประกอบธุรกิจในประเทศลาว ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นที่ 1 ด้วยสัดส่วน 52% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 47% และมีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในระบบรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,947,996 ราย เพิ่มขึ้นจาก 1,712,506 ราย ณ สิ้นปี 2557 ขณะที่บริษัท แคมโบเดียน ดีทีวี เน็ตเวิร์ค จำกัด หรือ CDN ในกัมพูชา มีการเติบโตจากการขายชุดอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมเพิ่มขึ้น และบริษัทยังมีกำไรจากการขายหุ้นของ บริษัท ซินเนอร์โทน คอมมิวนิเคชั่น คอร์ปอเรชั่น (ซินเนอร์โทน) ซึ่งเป็นการลงทุนในประเทศจีนอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในปี 2558 บริษัทได้ใช้หลักความระมัดระวังในการพิจารณาการด้อยค่าเงินลงทุนของบริษัท ตามมาตรฐานการบัญชีเรื่องการประมาณการมูลค่าสินทรัพย์ทำให้ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท ไอพีสตาร์ ออสเตรเลีย พีทีวาย จำกัด IPA จำนวน 454 ล้านบาท ซึ่งผลขาดทุนดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด ดังนั้น จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัท และบริษัทยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในอัตรา 0.65 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคมนี้