สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยมุมมองตลาดหุ้นไทยปีนี้แกว่งตัวรุนแรงอาจหลุด 1,163 จุด ส่วนด้านบวกอาจคาดไม่เกิน 1,501 จุด เหตุปัจจัยต่างประเทศยังคงส่งผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุน แนะปรับพอร์ตเลือกลงทุนหุ้นปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ปันผลดี
นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และผู้ลงทุนสถาบัน จำนวน 28 แห่ง พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 78.57 มองทิศทางตลาดหุ้นในปีนี้อยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2559 อยู่ที่ 1,442 จุด เทียบกับดัชนีล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1,300 จุด มีโอกาสปรับขึ้นร้อยละ 10.9 โดยจะมีระดับสูงสุดของปีที่ 1,501 จุด ขณะที่จุดต่ำสุดของปีนี้อยู่ที่ 1,163 จุด
โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดมากที่สุด พบว่า ร้อยละ 96.4 เห็นตรงกันว่า ปัจจัยบวกมาจากปัจจัยในประเทศ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ รองลงมา คือ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป
ส่วนกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 92 บาท ลดลงจาก 109.50 บาท เพราะต้นทุนหุ้นกลุ่มสื่อสารพุ่งขึ้นจากการประมูล 4G โดยหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน คือ AOT, CK, ERW, KBANK, PS ขณะที่การลงทุนในน้ำมัน นักวิเคราะห์ร้อยละ 42.3 มองว่าราคาน้ำมันยังอยู่ในขาลงโดยประเมินราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ของปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 41.10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำยังมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ร้อยละ 41.67 มองว่าราคายังอยู่ในช่วงขาลง ปัจจัยหลัก คือ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า โดยคาดว่า ณ สิ้นปี 2559 ราคาทองคำจะอยู่ที่เฉลี่ย 18,729 บาทต่อบาททองคำ
ด้าน นายรัชกฤษณ์พงศ์ เอกรังสรรค์ เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวเสริมว่า หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นลดดอกเบี้ย ทำให้มีเงินไหลลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น และระยะยาว ในช่วงเดือนที่ผ่านมา 100,000 ล้านบาท ส่งผลยอดถือครองตราสารหนี้ของต่างชาติเพิ่มเป็น 600,000 ล้านบาท จาก 500,000 ล้านบาท และสะท้อนมาที่เงินบาททำให้ปรับตัวแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นเหลือร้อยละ 35.8 ของเงินลงทุน ให้เพิ่มสัดส่วนลงทุนในต่างประเทศเป็นร้อยละ 22.5 ตราสารหนี้ และกองทุนตราสารหนี้เป็นร้อยละ 19.4 ทองคำรวมถึงโกลด์ฟิวเจอร์ ร้อยละ 7.5 และการลงทุนทางเลือกอื่นๆ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกร้อยละ 4.5 และเงินสดและเงินฝากร้อยละ 10.38 และเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผลต่อเนื่อง