สถานการณ์รอบโลกทั่วยุโรป และเอเชียยังกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ได้ลำบาก ประเมินราคาเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์อัปในขาขึ้นมากกว่า แม้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาเสมอเมื่อราคาทองคำดีดตัว เหตุหลายสถานการณ์ลบยังสนับสนุนให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยต่อการลงทุน
“วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส ประเมินทิศทางราคาทองคำว่า ภาพรวมราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ยังคงเป็นลักษณะการแกว่งตัวออกด้านข้าง โดยมีทั้งปัจจัยบวกและลบส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ แต่อย่างไรแล้วราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวเพื่อทดสอบกรอบแนวต้านด้านบน แต่พอราคามีการขยับขึ้นทดสอบเหนือแนวต้านบริเวณ 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ ทำให้ทองคำซึ่งยังไม่สามารถทำระดับใหม่บริเวณ 1,112 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบปีได้
ทั้งนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค cpi ในฝั่งสหรัฐฯ ที่ยังชะลอตัวลงเกินกว่าที่นักลงทุนมีการคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ยังคงไม่เป็นไปตามที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือว่าเฟดคาดการณ์เอาไว้ ทำให้ยังไม่เพียงพอที่เฟดจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบได้
ขณะที่ความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงราคาทิศทางน้ำมันยังถือเป็นอีกปัจจัยตัวหนึ่งที่กดดันในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลก รวมถึงสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยให้มีแรงซื้อเข้ามาเมื่อราคามีการอ่อนตัวลง
อย่างไรแล้ว เมื่อราคาทองคำมีการขยับขึ้นลำบาก เพราะยังคงมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา เนื่องจากนักลงทุนยังคงจับตามองความผันผวนในตลาดทุนซึ่งเกิดมาสักระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่ความผันผวนต่อสถานการณ์ดังกล่าว นักลงทุนหลายรายยังคงคาดการณ์ว่าอาจจะมีการเบาบาง หรือมีสถานะที่ดีขึ้นจึงส่งผลให้ราคาทองคำมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาเช่นนี้
สำหรับปัจจัยที่ยังคงต้องจับตา มองไปที่ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน FOMC หลังธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะมีการพิจารณาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ประเด็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเฟดอาจจะประสบปัญหาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะนโยบายการเงินระหว่าง 2 ธนาคารกลางใหญ่ที่มีความแตกต่างกันอาจจะทำให้เฟดไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้
“ประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่หนุนให้ราคาทองคำค่อยๆ ขยับขึ้นเพราะความวิตกกังวลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะลดน้อยลง อีกทั้งการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ ซึ่งนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า ทิศทางราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และทิศทางความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนอาจจะยังทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น ยังคงประกาศอัดฉีดสภาพคล่อง และการส่งเสริมเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งสอดคล้อง หรือไปในทิศทางเดียวกันกับธนาคารกลางยุโรป ที่จะกดดันเฟดให้ไม่สามารถถอนมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากราคาทองคำยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ หรือไซด์เวย์ในระยะสั้น แต่แนวโน้ม หรือโมเมนตั้มในระยะกลางยังประเมินว่ายังเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวของไซด์เวย์อัป แต่อย่างไรแล้ว สัญญาณดังกล่าวจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อราคาทองคำสามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือโซนแนวต้านบริเวณ 1,112 ดอลลาร์/ออนซ์ได้ ซึ่งนักลงทุนที่มีการถือครองทองคำไว้อาจจะต้องจับตาดูในส่วนของระดับดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนอาจจะรอในส่วนของการอ่อนตัวลงมาของราคา โดยให้จับตาดูในส่วนของแนวรับบริเวณ 1,090-1,085 ดอลลาร์/ออนซ์ในระยะสั้น ว่า ราคาสามารถทรงตัว หรือยืนอยู่เหนือระดับดังกล่าวได้หรือไม่ หากยืนไม่ได้สามารถถอยจุดเข้าซื้อบริเวณแนวรับสำคัญบริเวณ 1,060 ดอลลาร์/ออนซ์ หากราคาไม่หลุดราคาดังกล่าวแนวโน้ม หรือโมเมนตั้มในรูปแบบของไซด์เวย์ยังคงดำเนินต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากราคามีการดีดตัวขึ้นแต่ยังไม่สามารถทำระดับสูงสุดเหนือบริเวณ1,110-1,112 ดอลลาร์/ออนซ์ได้ อาจทยอยแบ่งทองคำออกขายเพื่อลดความเสี่ยงรอการอ่อนตัวลงมาเข้าใกล้ของโซนแนวรับแล้วค่อยเข้าซื้ออีกครั้ง เพื่อเก็งกำไรจากการดีดตัว แต่หากราคาสามารถผ่านราคา 1,112 ดอลลาร์/ออนซ์ สามารถชะลอการขายไปยังแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,123-1,135 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นกรอบราคาด้านบน ทั้งนี้ นักลงทุนต้องจับตาการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดหุ้น และทิศทางราคาน้ำมัน เพราะหลายครั้งที่ตลาดหุ้น และราคาน้ำมันเพิ่งฟื้นตัวราคาทองคำยังคงมีแรงขาย และทำกำไรสลับออกมาเช่นเดียวกัน