หลายปัจจัยยังสนับสนุนราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ “วายแอลจี” เชื่อทุกการปรับตัวจะมีแรงเทขายทำกำไรทองคำออกมา จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังแย่ในหลายพื้นที่ กดดันสหรัฐฯ ไม่อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้สะดวก ทำให้ความกังวลหมดไป ประเมินหากราคายืนแตะระดับ 1,110-1,112 เหรียญ/ออนซ์ ทิศทางของราคายังอยู่ในขาขึ้น
“วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงภาพรวมราคาทองคำในว่า ราคาทองคำยังคงเป็นลักษณะการแกว่งตัวออกด้านข้าง โดยมีทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา อย่างไรก็ตาม โดยรวมราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวเพื่อทดสอบแนวต้านด้านบน แต่พอราคามีการขยับขึ้นทดสอบแนวต้านด้านบนบริเวณ 1,100 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งยังคงไม่สามารถทำระดับใหม่บริเวณ 1,112 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบปี หรือรอบสูงสุดในเดือนมกราคม ก็ยังคงมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา
“ราคาทองคำยังได้รับตัวหนุนจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ cpi ในฝั่งสหรัฐฯ ที่มีการชะลอตัวลงมากกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ ยังคงไม่เป็นไปตามที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดไว้ หรือพอที่จะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ขณะที่ความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนรวมถึงทิศทางราคาน้ำมันก็ยังเป็นอีกปัจจัยตัวหนึ่งที่กดดันในแนวโน้มเศรษฐกิจโลก”
สิ่งเหล่านี้ทำให้เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลเชิงบวกต่อแนวโน้มของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดทองคำเมื่อราคามีการอ่อนตัวลง แต่อย่างไรแล้ว พอราคาทองคำมีการขยับขึ้น แรงขายทำกำไรสลับออกมา เพราะนักลงทุนยังคงจับตาความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนซึ่งเกิดมาสักระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่ความผันผวนต่อสถานการณ์ดังกล่าว นักลงทุนหลายรายคาดการณ์ว่า อาจจะมีบรรเทาเบาบาง หรือว่าเริ่มมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น จึงส่งผลให้ทองคำมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาเช่นนี้เรื่อยๆ
สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามต่อจากนี้คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือการประชุมนโยบายการเงิน (FOMC) ที่ค่อนข้างชัดว่า การที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB มีการส่งสัญญาณชัดเจน ว่า จะมีการพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ประเด็นดังกล่าวให้นักลงทุนมีการเชื่อมั่นมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือว่าเฟด อาจจะประสบปัญหาในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะว่านโยบายการเงินระหว่าง 2 ธนาคารที่มีความแตกต่างกัน อาจจะทำให้เฟดไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่หนุนให้ราคาทองคำค่อยๆขยับขึ้น เพราะความวิตกกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะลดน้อยลง
นอกจากนี้ จะมีการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ ซึ่งนักลงทุนก็ยังคงคาดการณ์ว่าทิศทางราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับต่ำ และทิศทางราคาผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนอาจจะยังคงทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น ยังคงประกาศในการอัดฉีดสภาพคล่อง และการส่งเสริมเศรษฐกิจในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับธนาคารกลางยุโรป ซึ่งก็จะกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือว่าเฟดไม่สามารถถอนมาตราการการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ หรือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะใช้ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ เป็นปัจจัยในการกำหนด เช่น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน รวมถึงตัวเลขประมาณการของ GDP ประจำไตรมาส 4 ของปี 2558
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากราคาทองทำยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ หรือว่าไซด์เวย์ในระยะสั้น แต่แนวโน้ม หรือโมเมนตัมในระยะกลางโดยประเมินว่าน่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในรูปของไซด์เวย์อัป แต่สัญญาณดังกล่าวจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อราคาทองคำสามารถกลับขึ้นไปยืนอยู่เหนือโซนแนวต้านบริเวณ 1,112 เหรียญ/ออนซ์ ทำให้นักลงทุนที่มีการถือครองทองคำไว้ อาจจะต้องจับตาในส่วนของระดับดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
โดยในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนอาจจะรอการอ่อนตัวลงมาของราคาทองคำ โดยให้จับตาดูในส่วนของโซนแนวรับบริเวณ1,090-1,085 เหรียญ/ออนซ์ ในระยะสั้น ว่า สามารถทรงตัวยืนเหนือระดับดังกล่าวได้หรือไม่ หากยืนไม่ได้สามารถถอยจุดเข้าซื้อไปยังโซนแนวรับสำคัญบริเวณ1,060 เหรียญ/ออนซ์ และหากราคาไม่หลุดแนวรับดังกล่าว แนวโน้ม หรือโมเมนตัมในรูปแบบของไซด์เวย์ยังคงดำเนินต่อไป
ส่วนกรณีราคามีการดีดตัวขึ้นหากราคายังคงไม่สามารถทำระดับสูงสุดเหนือบริเวณ 1,110-1,112 เหรียญ/ออนซ์ อาจจะทยอยแบ่งทองคำออกขายเพื่อลดความเสี่ยง รอการอ่อนตัวลงมาเข้าใกล้ในส่วนของโซนแนวรับแล้วค่อยเข้าซื้ออีกครั้งเพื่อเก็งกำไรจากการดีดตัว แต่หากราคาสามารถผ่านบริเวณ 1,112 เหรียญ/ออนซ์ สามารถชะลอการขายไปรอแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,123-1,135 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งเป็นกรอบราคาด้านบน
“ไม่เพียงเท่านี้นักลงทุนอาจจะต้องจับตาการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดหุ้น และทิศทางน้ำมัน เพราะหลายครั้งที่ราคาหุ้น และทิศทางน้ำมันเริ่มฟื้นตัว ราคาทองคำยังคงมีแรงขายทำกำไรออกมาเช่นกัน”