“วายแอลจี” ประเมินราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบแคบ และฟื้นตัว หลังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งเฟดมีโอกาสทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
“วรุต รุ่งขำ” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมราคาทองคำเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด ขณะที่ราคาเริ่มมีแรงซื้อ และดีดตัวขึ้นมาได้อย่างชัดเจน จากการหยุดทำระดับต่ำสุดครั้งใหม่ แต่การขยับขึ้น หรือไปต่อของราคาทองคำยังไปได้ไม่ไกลมากนัก โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนตัวลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่าภาวะเงินฝืดอาจทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ เริ่มออกมาส่งสัญญาณถึงความวิตกกังวล รวมถึงการอ่อนตัวลงของตัวสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน
“ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองคำได้รับความสนใจ หรือได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และเริ่มมีการดีดตัวขึ้น แต่อย่างไรแล้วการขยับขึ้นหรือการไปต่อของราคาทองคำยังคงไปต่อได้ไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องการปรับขึ้นอัตร่าดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด”
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ก่อนที่จะทราบผลในการประชุม นักลงทุนยังต้องเน้นลงทุนระยะสั้นจากการแกว่งตัวในกรอบของราคา โดยยังประเมินในส่วนของกรอบราคาด้านล่างบริเวณ 1,050-1,045 เหรียญ/ออนซ์ ขณะที่กรอบด้านบนประเมินไว้ระดับ 1,090-1,100 เหรียญ/ออนซ์ และหากราคามีการแกว่งตัวในระดับดังกล่าวน่าจะสร้างรูปแบบการไซด์เวย์อีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่จะเป็นการปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดที่มีการคาดการณ์ไว้ และจะมีการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลให้ราคาทองคำสามารถขยับขึ้น และทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,100 เหรียญ/ออนซ์ ทำให้มีแนวต้านถัดไปที่ 1,120 เหรียญ/ออนซ์ และในทางตรงกันข้าม หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันราคาปรับตัวลดลงมาก และทำระดับต่ำสุดครั้งใหม่
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ในฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเปิดเผยตัวเลขในด้านเงินเฟ้อที่เฟดจะนำไปตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นแล้วตัวเลขดังกล่าวยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ประธานเฟดหลายสาขายังคงให้ความสำคัญ