นับจากระยะเวลาประมูลใบอนุญาต 4G คลื่น 1800 MHz พ.ย. ต่อเนื่องถึงการประมูลคลื่น 900 MHz ถึงปัจจุบันหุ้นกลุ่ม ICT สามารถพลิกสถานการณ์จาก underperform เมื่อปี 2558 กลับมา outperform ได้ในช่วงเดือนแรกของปี 2559 โดยสามารถปรับขึ้นได้ถึง 6.5% สะท้อนให้เห็นภาวะอุตสาหกรรมมือถือมีแนวโน้มการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรงมากขึ้น กดดันผลประกอบการให้ลดลง อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้นในกลุ่มปรับเพิ่มขึ้นได้ในช่วงนี้ โดยเฉพาะ ADVANC, DTAC หรือแม้แต่ INTUCH ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลจ่ายเงินปันผล ซึ่งหุ้นดังกล่าวข้างต้นมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง ทั้งยังมีการจ่ายอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ ปี นอกจากนี้ หากพิจารณาสถิติในอดีตย้อนหลัง 5 ปี จะเห็นว่าราคาหุ้นมักปรับตัวขึ้นล่วงหน้าก่อนวันขึ้น XD ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย และความน่าจะเป็นที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส พิจารณาเป็นรายหุ้น พบว่า ADVANC (FV@B165) ราคาปัจจุบันปรับขึ้นมามากจนเกิน upside แล้ว หากนักลงทุนยังมีหุ้นอยู่ก็สามารถถือเพื่อรับปันผลได้ หรืออาจสลับมา DTAC (FV@B40) อาจได้รับแรงกดดันจากการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/58 ออกมาต่ำกว่าคาด แต่ว่าเป็นเหตุการณ์ระยะสั้นเนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศ
แต่จากการที่ DTAC เตรียมแผนลงทุน 4G มีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ กสทช.มีนโยบายที่จะให้มีการประมูลใบอนุญาตเพิ่มเติม โดยส่วนหนึ่งจะนำคลื่นความถึ่ 2600 MHz ที่จะขอคืนจาก MCOT มาประมูลอย่างน้อย 60 MHz ส่งผลให้คาดการประมูลคลื่นดังกล่าวจะเกิดขึ้นปีหน้า ช่วยให้ DTAC มีโอกาสประมูลคลื่นระบบใบอนุญาต หลังจากที่ไม่ได้คลื่นจากการประมูลคลื่นรอบที่ผ่านมา จึงต้องกลับไปพึ่งคลื่นสัมปทานที่ต้นทุนสูง และอายุบริการสั้น 3 ปี ทำให้มีโอกาส 4G ได้มีประสิทธิภาพไม่ดีเท่ากับคู่แข่ง โดยคาดว่าจะแบ่งใบอนุญาตเป็น 3 ใบ ใบละ 20 MHz แม้คาดว่าผู้ประกอบการมือถือทั้ง 4 รายจะเข้าร่วมประมูลทั้งหมด แต่เชื่อว่า DTAC น่าจะเป็น 1 ในผู้ชนะ และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านการเงิน จึงทำให้ DTAC ประกาศจะลดอัตราการจ่ายเงินปันที่ 80% เหลือ 50% เพื่อนำส่วนต่าง 30% ไปลงทุนขยายโครงข่าย นับว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวก นอกจากนี้ INTUCH (FV@B66) และ THCOM (FV@B41) ยังเป็นอีกทางเลือกที่มีทั้ง Div. Yield และ upside ในระดับสูง ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย แนะนำ “ขาย” DTAC ราคาเป้าหมาย 25 บาท/หุ้น (ขายปิด 35.25 พื้นฐาน 25.00-29.1%) เราคงคำแนะนำ “ขาย” สำหรับ DTAC ที่ราคาพื้นฐาน 25 บาท DTAC ประกาศผลประกอบผลประกอบการไตรมาส 4/58 ที่ 940 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 9 ปี และสะท้อนว่ารายได้ค่าบริการยังคงอ่อนตัว อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารมีแรงกดดันจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการโดยรวมปี 2559 ของบริษัทยังน่าจะยังน่าจะอ่อนแอ โดยเราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2016-18 จะยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงต่อไป ขณะเดียวกัน เราเห็นว่าการทำตลาด และออกแพกเกจในราคาที่ดุดันเพิ่มขึ้นจะทำได้เพียงชะลอการลดลงของรายได้มากกว่าที่จะทำให้รายได้ค่าบริการเติบโต
นอกจากนี้ DTAC ได้ปรับลดนโยบายการจ่ายปันผลขันต่ำลงเป็น 50% จาก 80% และเปลี่ยนการจ่ายปันผลเป็นการจ่าย 2 ครั้งต่อปี จากจ่ายทุกไตรมาส เริ่มตั้งแต่ปี 2559 และเรามองเห็นโอกาสที่ตลาดจะมีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของ DTAC ลงอีกรอบ ทั้งนี้ DTAC ได้ประกาศจ่ายปันผลในไตรมาสที่ 4 ปี 2015 ที่ 0.52 บาทต่อหุ้น และจะขึ้น XD ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” DTAC ราคาเป้าหมาย 62 บาท/หุ้น โดยมีมุมมองว่า การปรับลดเงินปันผลของ DTAC เนื่องมาจากเตรียมเงินสำหรับการใช้เงินจำนวน หากไม่ใช่การประมูลคลื่นความถี่ก็เป็นการเซ็นสัญญา JV ซึ่ง DTAC จะต้องจ่ายให้ CAT 6 พันล้านบาท หรือ 51% ของมูลค่าเสา และไฟเบอร์ การตกลงอื่นๆ กับ CAT อาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าแนวโน้มการดำเนินงานจะย่ำแย่ แต่ยังมีโอกาสในการทำ roaming 2G กับ ADVANC จะช่วยให้ DTAC มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเราคาดว่าดีลนี้จะได้ข้อสรุปก่อนที่ TRUE จะจ่ายเงินก้อนแรก เราแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 62 บาท (DCF) และฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี แนะนำ “ถือ” DTAC ราคาเป้าหมาย 30 บาท/หุ้น