xs
xsm
sm
md
lg

จับตาสถานการณ์หุ้นกลุ่มบิ๊กแคป แบงก์ พลังงาน สื่อสาร วัสดุฯ หลังเจอสัญญาณเชิงลบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เจพีมอร์แกน ลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยปี 59 และมีการปรับลดคาดการณ์ผลกำไร บจ. โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มแบงก์ พลังงาน และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่โบรกฯ แนะให้ระวังลงทุนหุ้นกลุ่มนสื่อสาร หลังจาก JAS-TRUE ชนะประมูลคลื่น 900 MHz เนื่องจากถือว่ามีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด อาจกระทบการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น

รายงานข่าวแจ้งว่า เจพี มอร์แกน ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยลงสู่ Underweight เนื่องจากมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ ประกอบกับมีการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยในรายงานแนวโน้มตลาดเกิดใหม่ประจำปี 2559 เจพี มอร์แกน ได้ระบุถึงตลาดหุ้นไทย โดยชี้ไปที่หุ้นกลุ่มการเงินซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 25% ในตลาดหุ้นไทย และหุ้นกลุ่มพลังงาน และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกันอีก 30% ของดัชนี MSCI Thailand

นักวิเคราะห์ของเจพี มอร์แกน ระบุว่า แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยนั้นเสื่อมถอยลง หลังจากภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ขณะที่ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารเองก็ไม่ดีนัก โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดการปล่อยเงินกู้ของธนาคารต่างๆ ขยายตัวเพียง 6% จากปีก่อน ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิหดตัวลง

สำหรับมุมมองต่อกลุ่มพลังงาน และกลุ่มวัสดุนั้น เจพี มอร์แกน ชี้ว่า ความต้องการวัสดุก่อสร้าง และปูนซีเมนต์ยังคงอ่อนแอ เนื่องจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลน่าผิดหวัง ขณะที่กลุ่มพลังงานกำลังเผชิญต่อคลื่นลมปะทะ (headwind) จากแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซบเซา

เจพี มอร์แกน คาดว่า จีดีพีของไทยจะขยายตัวเพียง 2.9% ในปีหน้า ซึ่งไม่สัมพันธ์ต่อการขยายตัวของรายได้บริษัทจดทะเบียนที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8% ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์หุ้นได้ปรับลดประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเจพี มอร์แกนมองว่ายังสูงเกินไป

รายงานของเจพี มอร์แกน เป็นไปในทิศทางเดียวกับเครดิตสวิส โดยธนาคารสัญชาติสวิสระบุในรายงานกลยุทธ์การลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ว่า ดัชนี MSCI Emerging Markets Index จะปรับตัวขึ้น 15% แตะที่ระดับ 960 พร้อมให้คำแนะนำ Overweight แก่หุ้นจีน เกาหลีใต้ อินเดีย เม็กซิโก มาเลเซีย และตุรกี ขณะที่ให้น้ำหนัก Underweight แก่ บราซิล รัสเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และโปแลนด์

ด้านนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า หลังจาก JAS-TRUE ชนะประมูลคลื่น 900 MHz ของสำนักงาน กสทช. เป็นมุมมองในเชิงลบ มองว่าจะเป็นผลในเชิงลบต่อกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากถือว่ามีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด อาจส่งผลลบต่อแนวโน้มการเติบโตของรายได้กลุ่มสื่อสารโดยรวม และการแข่งขันเพิ่มขึ้น แนวโน้มปรับลดราคาเป้าหมายลงทุกตัว

สำหรับผลกระทบเบื้องต้นในส่วนของ ADVANC อาจต้องลงทุน Capex เพิ่มขึ้น (คลื่นน้อย) ใช้ค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาฐานลูกค้า ส่วน DTAC อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการทำธุรกิจหลังปี 2518 เมื่อสัญญาสัมปทานหมดอายุ เพราะเหลือเพียงคลื่นเดียวคือ 2.1 GHz จึงทำให้ส่วนแบ่งตลาดรายได้มีโอกาสลดลงสูงหากไม่มีการประมูล 1800 MHz รอบใหม่หลังปี 2515 แม้ว่า DTAC จะสามารถแข่งขันได้ในช่วงปี 2516-18 จากคลื่นบนสัญญาสัมปทานได้มีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง

ในส่วนของ TRUE คาดว่าต้องเพิ่มทุนอย่างแน่นอน และต้องเพิ่ม Capex และค่าใช้จ่ายการตลาด ขณะที่การแข่งขันมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น กดดันรายได้ ถึงแม้มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดรายได้จาก ADVANC และ DTAC จึงคาดว่ามีแนวโน้มกลับมารายงานขาดทุนในช่วง 2016-18 และไม่สามารถจ่ายเงินปันผล

ขณะที่ JAS นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย มองว่า อาจขาดทุนทุกปี และไม่น่ามีมูลค่าเหลือจากการลงทุนในการได้คลื่นมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มขาดทุนทุกปี นอกจากนี้ ยังมองว่าการยอมซื้อคลื่นในราคาแพงกว่า ADVANC ยอมรับได้ สะท้อนความไม่สมเหตุสมผลของ JAS และน่าจะส่งผลลบต่อกลุ่มสื่อสารโดยรวม

ดังนั้น โดยภาพรวมคาดว่าราคาหุ้นกลุ่มสื่อสารอาจปรับลดลงทุกตัวในวันจันทร์หน้า แต่ยังสนใจหุ้น ADVANC ในกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากคาดว่าจะยังจ่ายเงินปันผลได้ แต่ต้องปรับลดกำไรสุทธิลง หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงมาเพื่อให้ได้ Yield ร้อยละ 5-6 ขณะที่ DTAC, TRUE และ JAS ต้องระมัดระวังการเข้าลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น