แค่เดือนแรกของปีวอก บริษัทอสังหาฯ ประกาศแผนลงทุนอย่างต่อเนื่อง เฉพาะแค่ 6 บริษัทอสังหาฯ เป้าเปิดโครงการใหม่ปีนี้ 142-153 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.7 แสนล้านบาท พฤกษานำโด่ง 60-65 โครงการ ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจเป็นโจทย์ท้าทายของผู้ประกอบการ ล่าสุด “เศรษฐา ทวีสิน” วางเป้าเปิดโครงการใหม่ 21 โครงการ มูลค่าครึ่งแสนล้าน สูงกว่าปีก่อน 128% วางเป้ายอดขายปี 59 ประมาณ 42,000 ล้านบาท รายได้ 36,000 ล้านบาท ชี้หากปีนี้ ศก.โต 3.5% ก็พอรับได้ ลุ้นโครงการต่างๆ ที่รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประกาศจะคลอดได้เร็วแค่ไหน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพียงเข้าสู่เดือนมกราคมปีใหม่ ปีวอกเพียงไม่กี่วัน เริ่มมีความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทขนาดใหญ่ได้ประกาศแผนลงทุนในปี 2559 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และต่างประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงอ่อนลง โดยพบว่าบริษัท ศุภาลัยฯ บริษัท พฤกษาฯ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ฯ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บริษัท แสนสิริฯ และ บริษัท ลลิลฯ ยังคงขยายการลงทุนในลักษณะที่มีตัวเลขการเติบโตของการเปิดโครงการ รวมแล้วเฉพาะ 6 บริษัทดังกล่าว จะเปิดในปีนี้ 142-153 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 178,570 ล้านบาท
โดยบริษัทศุภาลัย เปิด 29-35 โครงการ มูลค่า 36,570 ล้านบาท บริษัทพฤกษาฯ 60-65 โครงการ มูลค่า 50,000-54,000 ล้านบาท บริษัท แอล.พี.เอ็นฯ 10 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท บริษัท แลนด์ฯ 14 โครงการ 23,500 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการมูลค่าไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาท บริษัทลลิลฯ 8 โครงการ 4,000 ล้านบาท ล่าสุด บริษัท แสนสิริฯ เปิด 21 โครงการ มูลค่า 50,500 ล้านบาท
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 59 ไว้ที่ประมาณ 42,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มียอดขาย 28,500 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมตั้งเป้าไว้ที่ 36,000 ล้านบาท จากปี 58 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 38,000 ล้านบาท เนื่องจากในปีที่ผ่านมา มีรายได้พิเศษจากการขายที่ดินให้แก่บริษัทร่วมทุนประมาณ 800 ล้านบาท โดยบริษัทมียอดขายที่รอบันทึกเป็นรายได้ 38,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการรับรู้ในปีนี้ประมาณ 36,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีแล้วประมาณ 30% คิดเป็นมูลค่า 12,000 ล้านบาท
ในปีนี้บริษัทมีแผนโครงการใหม่ 21 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 50,500 ล้านบาท แบ่งเป็นเปิดคอนโดมิเนียม 11 โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ โดยมูลค่าโครงการใหม่สูงกว่าปีก่อน 128% คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าโครงการใน กทม. และปริมณฑล 92% และต่างจังหวัด 8% โดยในต่างจังหวัดเป็นโครงการที่มีการพัฒนาในเฟสต่อเนื่อง และพัฒนาจากที่ดินที่แสนสิริเคยซื้อไว้เดิม
“การเปิดโครงการเราจะไปเน้นหนักในไตรมาส 4 เพราะตามนโยบายของแสนสิริ ต้องการผ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมก่อน โดยใน 3 ไตรมาสแรกของปี 59 จะมีมูลค่าการเปิดโครงการรวม 24,000 ล้านบาท แต่เฉพาะไตรมาส 4 จะมีมูลค่าเปิดโครงการสูงถึง 26,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หากดูระดับราคาจากแผนเปิดโครงการในปีนี้จะอยู่ในระดับ medium-end และ hi-end เป็นส่วนใหญ่ เช่น คอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่าแสนบาทต่อ ตร.ม. ประมาณ 14% ระดับราคา 1-2 แสนบาทต่อ ตร.ม. ประมาณ 34% และระดับราคามากกว่า 2 แสนบาทต่อ ตร.ม. ถึง 52% อย่างเช่น โครงการ 98 Wireless บนถนนวิทยุ ราคาสูงสุดในขณะนี้ 6.3 แสนบาทต่อ ตร.ม. ราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม.อยู่ที่ 5 แสนบาท ปัจจุบันมียอดจอง (ก่อนเปิดขาย) ประมาณ 20 ยูนิต จาก 77 ยูนิต เป็นต้น”
พร้อมกันนั้น บริษัทยังเดินหน้ารุกขยายตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้ายอดขายลูกค้าต่างชาติในปีนี้ที่ 5,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 3,500 ล้านบาท สูงกว่าปี 57 ถึง 135% โดยเตรียมแผนเปิดตลาดใหม่ในจีน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในแต่ละปีจะมีนักธุรกิจจากประเทศจีนเข้ามาไทยประมาณ 7 ล้านคน และประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่คนจีนนิยมเข้ามาท่องเที่ยวในไทย
นายเศรษฐา กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจในปี 59 ว่า หากอยู่ระดับ 3.5% ผมก็พอรับได้ ซึ่งในมุมมองแล้วปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย และราคาน้ำมันก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งต้องมาติดตามในช่วง 6 เดือนหลังว่า มาตรการต่างๆ ที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันออกมาก่อนหน้านี้จะส่งผลอย่างไรบ้าง แต่เรื่องการเมืองก็เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อนักลงทุน
“เรามองว่าปี 59 มีมุมท้าทาย เราต้องมองทั้งบวก และลบ การเปลี่ยนตัวรองนายกฯ มาเป็น ดร.สมคิด และการมีมาตรการต่างๆ ออกมา ทั้งเรื่องกระตุ้นตลาดอสังหาฯ มาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี หรือแม้แต่โครงการคมนาคมขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้น เหล่านี้อยู่ในขั้นการเตรียมการ อยู่ที่ว่าจะคลอดได้เร็วแค่ไหน”
