ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า “เทคโนโลยี” จะเป็นตัวแปรสำคัญของภาคธุรกิจ รวมถึงการลงทุนนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป บางบริษัท หรือธุรกิจที่เคยได้ชื่อว่าเข้มแข็ง ยากที่ใครจะมาแข่งขันได้ ก็อาจจะเพลี้ยงพล้ำได้ด้วยธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังเป็นกระแสของโลกอย่าง “สตาร์ทอัป”
สตาร์ทอัป ชื่อดังของโลกล้วนแต่เกิดมาเพื่อเป็น “ขบถ” ต่อวิถีชีวิตเดิมๆ ซึ่งผมมองว่ามันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ตั้งแต่ Gen Z ขึ้นไป เพราะคนเหล่านี้ก็นิยมการแหกคอกจากขนบธรรมเนียมเดิมๆ การใช้ชีวิตแบบเดิมๆ อย่างเช่น Uber แอปพลิเคชันเรียกใช้บริการรถยนต์โดยสารที่ออกมาตอบโจทย์การเดินทางแบบใหม่ รวมถึง Airbnb ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เป็นศูนย์กลางของคนที่มองหาที่พักในต่างประเทศ แทนที่จะต้องจองโรงแรมตามปกติก็จองผ่านเว็บไซต์นี้แทน ก็จะมีคนที่มีห้องว่างเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเข้าพักได้ เป็นรายได้เสริม
เว็บไซต์ Airbnb เติบโตขึ้นรวดเร็วมาก จนอดคิดไม่ได้ว่าต่อไปธุรกิจโรงแรมอาจจะได้รับผลกระทบเลยก็ว่าได้ รวมถึงภาคธนาคารที่ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า กำลังไล่ซื้อกิจการของสตาร์ทอัปกลุ่ม Fintech เข้ามา นอกจากประโยชน์ในแง่ของ Know How แล้วยังได้ฐานลูกค้าบางส่วนมาไว้อีกด้วย แต่ที่สำคัญคือ เป็นการสกัดดาวรุ่งไม่ให้ธุรกิจพวกนี้ขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญในอนาคตได้
ไม่แน่..ต่อไปในอนาคตบริษัทระดับโลกอาจจะเสียท่าให้แก่สตาร์ทอัปเหล่านี้ ถ้าหากสามารถคิดค้นสินค้า และบริการที่ออกมาตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า ลองคิดดูเล่นๆ ครับว่า อีกหน่อยถ้ามีสตาร์ทอัปที่พัฒนาพลังงานทางเลือก ไม่แน่ว่าบริษัทน้ำมันใหญ่ๆ อาจจะอยู่ไม่รอดก็ได้
โลกทัศน์ของธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมากครับ ธุรกิจที่ยังดำเนินกิจการแบบดั้งเดิมอาจจะไปไม่รอดในยุคหน้านี้ครับ เห็นแล้วว่า Kodak ต้องล้มละลายเพราะยังยึดติดกับธุรกิจฟิล์ม Nokia ต้องขายกิจการโทรศัพท์มือถือ ทั้งที่เคยเป็นเจ้าตลาดมาก่อน
เร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้จัดการกองทุนที่จัดตั้งกองทุนไปลงทุนในต่างประเทศ ได้มุมมองมาว่า ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในปีนี้จะเป็นกิจการที่มุ่งเน้นทางด้านนวัตรกรรม และแบรนดิ้ง ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจสตาร์ทอัปที่กำลังมาแรง เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่างเช่น Amazon ซึ่งกำลังทำให้ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมอย่างเช่น Wallmart ประสบปัญหาต้องปิดกิจการทั่วโลกกว่า 200 สาขา
รวมถึงธุรกิจ Healthcare ยุคใหม่ เช่น ธุรกิจความงาม ธุรกิจด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตรวดเร็วโดยเฉพาะในยุโรป ไม่แน่ว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่อาจจะมีปัญหาถูกแย่งกลุ่มลูกค้าในอนาคตก็เป็นได้ ขณะเดียวกัน ธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมก็ยังมีแนวโน้มเติบโตแม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะไม่ดีนัก อย่างกระเป๋าถือ Hermes ยังเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตได้โดยเฉพาะตลาดจีน เพราะเป็นบริษัทที่รักษาแบรนด์ได้อย่างต่อเนื่อง
แนวทางการลงทุนแบบซื้อแล้วถือยาวตลอดไปอาจจะใช้ไม่ได้ในยุคนี้แล้ว นักลงทุนต้องตามเทรนด์ของธุรกิจให้ทัน อาจจะไม่ถึงรอบปีอีกแล้วแต่อาจจะต้องรีวิวทุกไตรมาสด้วยซ้ำ
นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง