xs
xsm
sm
md
lg

“เกษตรไทย อินเตอร์ฯ” ไม่หวั่น ศก.โลกอึมครึม เก็บเกี่ยวรายได้จากการลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กลุ่ม “เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น” มั่นใจปีนี้ฝ่ากระแสอึมครึมของเศรษฐกิจโลกได้แน่ เตรียมกระจายความเสี่ยงในแต่ละสายธุรกิจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ชี้โครงการผลิตน้ำเชื่อม และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สายธุรกิจน้ำตาลทราย ขณะที่เตรียมเก็บเกี่ยวรายได้จากการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่รวม 100 เมกะวัตต์ สร้างการเติบโตให้สายชีวพลังงาน และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง

นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาล และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า แม้ว่าปี 2559 นี้ภาพรวมเศรษฐกิจของโลกยังไม่ชัดเจนนักว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งหรือไม่ และจะมีปัจจัยใหม่ๆ อะไรเข้ามากระทบอีก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อาจส่งผลไปถึงประเทศอื่นๆ ในโลกด้วย อย่างไรก็ตาม ในอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายนั้นความต้องการในตลาดโลกก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อราคาน้ำตาลในตลาดโลก เช่น สภาพอากาศ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของประเทศผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของโลกอย่างบราซิล ดังนั้น จึงยังไม่สามารถประเมินการเติบโตของสายธุรกิจน้ำตาลของ KTIS ในปีนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะขึ้นกับราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลก ซึ่งคาดว่าราคาเฉลี่ยของปีนี้จะสูงกว่าปี 2558

“กลุ่ม KTIS ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา และต้องการสร้างการเติบโตให้ได้อย่างยั่งยืน เราจึงได้พยายามสร้างมูลค่าเพิ่มให้สายธุรกิจน้ำตาลด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ การร่วมกับบริษัท นิสชิน ชูการ์ ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น ทำโครงการผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sucrose) และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำเชื่อม 400 ตัน (400,000 กิโลกรัม) ต่อวัน และกำลังการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ 500 ตัน (500,000 กิโลกรัม) ต่อวัน ซึ่งได้ทดลองเดินเครื่องผลิตแล้ว และจะมีรายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้” นายประพันธ์ กล่าว

ส่วนในสายธุรกิจชีวพลังงานนั้น เดิมมีโรงไฟฟ้าที่ผลิตจากชานอ้อยขนาด 60 เมกะวัตต์ เพียงโรงเดียว ก็จะเพิ่มอีก 2 แห่ง ขนาดโรงละ 50 เมกะวัตต์ รวม 3 โรงไฟฟ้า เท่ากับ 160 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังมีโรงงานที่ผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย และโรงงานผลิต และจำหน่ายเอทานอลที่สร้างรายได้ให้แก่ KTIS อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

“ปี 2557 และ 2558 เป็นปีที่กลุ่ม KTIS ได้นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปมาลงทุนในโครงการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งในปี 2559 นี้ เป็นปีที่เราจะได้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนเหล่านี้ โดยในไตรมาสแรกจะมีรายได้จากผลิตภัณฑ์น้ำเชื่อม และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ รวมถึงโรงไฟฟ้าใหม่อย่างน้อย 1 โรง จึงมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งของเรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น