xs
xsm
sm
md
lg

เกษตรไทย อินเตอร์ฯ เตรียมขายไฟฟ้า-ผลิตน้ำตาลพิเศษน้ำเชื่อมดันมาร์จิ้นเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนลฯ เตรียมขายไฟฟ้าปลายปีนี้ 50 เมกะวัตต์ ส่วนอีก 50 เมกะวัตต์ เปิดขายต้นปี 59 พร้อมหันผลิตน้ำเชื่อมและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษด้วยมาตรฐานสูงจากญี่ปุ่น ดันมาร์จิ้นเพิ่ม คาดปีหน้าสัดส่วนรายได้น้ำตาล และพลังงานเป็น 60% ต่อ 40% หลังโรงไฟฟ้าเสร็จ และขายไฟฟ้าได้ทุกแห่ง

นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS เปิดเผยถึงโครงการไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อยว่าปัจจุบัน กลุ่ม KTIS มีโรงไฟฟ้าที่ใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 2 โรง ซึ่งมีกำลังการผลิตโรงละ 50 เมกะวัตต์ รวมทั้ง 3 โรงไฟฟ้าจะมีกำลังการผลิตรวม 160 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าชีวมวลใหม่โครงการแรกอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 960 ล้านบาท ส่วนโครงการที่สองอยู่จังหวัดนครสวรรค์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 960 เช่นกัน ซึ่งธุรกิจไฟฟ้าจะดำเนินการภายใต้บริษัท ไทยเอกลักษณ์ เพาเวอร์ จำกัด

“โรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งใหม่ทั้ 2 แห่งนี้เราต้องการให้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัยสูงสุด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถผลิตไอน้ำแรงดันสูง ซึ่งทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าเทคโนโลยีการผลิตไอน้ำแรงดันต่ำ เมื่อเทียบกับจำนวนเชื้อเพลิงเท่าๆ กัน ซึ่ง 50 เมกะวัตต์แรกจะผลิต และขายไฟฟ้าได้ก่อนสิ้นปี 58 และอีก 50 เมกะวัตต์ จะผลิตและขายไฟฟ้าได้ในปี 59” นายประพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ นอกจากโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งใหม่จะสร้างรายได้ และผลกำไรที่มากขึ้นให้แก่กลุ่ม KTIS แล้ว ยังสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตที่จะเพิ่มขึ้นจากโครงการขยายกำลังการผลิตน้ำตาล และธุรกิจต่อเนื่องด้วย เพราะไฟฟ้าที่ผลิตได้นี้จะนำไปใช้ในกลุ่ม KTIS ก่อน ส่วนที่เหลือจึงจะขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.

นายประพันธ์ กล่าวถึงการผลิตในสายธุรกิจน้ำตาล คือ การผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sucrose) ด้วยกำลังการผลิต 400 ตันต่อวัน หรือ 4 แสนกิโลกรัมต่อวัน และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) กำลังการผลิต 500 ตัน หรือ 5 แสนกิโลกรัมต่อวัน ซึ่งขณะนี้ก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรเกือบจะแล้วเสร็จแล้ว คาดจะเริ่มทดลอง และเดินเครื่องผลิตได้ก่อนสิ้นปี 58 นี้ ซึ่งสินค้าใหม่นี้จะมีมาร์จิ้นสูงกว่าปกติ เพราะน้ำตาลชนิดพิเศษเทียบกับน้ำตาลธรรมดาจะมีส่วนต่างถึง 80-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และใช้ขั้นตอนการผลิตที่มาตรฐานสูง มีประสิทธิภาพ และคุณภาพตตามมาตรฐานของบริษัท ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น

โดยการเพิ่มไลน์การผลิตดังกล่าวเพื่อลดขั้นตอนการใช้สอย และเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าสามรถนำไปใช้ได้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจน้ำตาลไม่ได้ลดลง เพียงแต่ฐานรายได้จากพลังงานจะเพิ่มขึ้น หลังจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากชานอ้อยเพิ่มสูง

สำหรับปี 59 KTIS คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตประมาณ 10% จากการเติบโตของธุรกิจพลังงาน ซึ่งจากการที่ KTIS ได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตในส่วนของโรงฟฟ้านั้นจะทำให้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเข้ามาเต็มปีตั้งแต่ปี 59 เป็นต้นไป ส่งผลต่อสัดส่วนรายได้ของกลุ่มบริษัทปรับเปลี่ยน โดยจากเดิมรายได้จากธุรกิจน้ำตาลจะลดลงเหลือเพียง 60% และรายได้จากไฟฟ้าจากเพิ่มจากเดิม 35% เป็น 40% ในปี 59 จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ KTIS มาจากการผลิต และจำหน่ายน้ำตาลและกากน้ำตาล 74% สายชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ 26%
 
“รายได้จากน้ำตาลของเราไม่ได้ลด แต่ฐานของรายได้จากพลังงานจะเติบโตขึ้นมาอย่างชัดเจน ซึ่งปีนี้เราเริ่มผลิตในส่วนของการขยายกำลังการผลิต และก็เริ่มรับรู้รายได้ทันที แต่ก็ไม่มากเพราะเราจะเดินเครื่องจริงๆ ก็คงใกล้ๆ จะสิ้นปี ซึ่งเม็ดเงินไม่ชัดเจน แต่จะเห็นเต็มๆ ปี ในปี 59 และการเน้นไปพลังงานทดแทนเพราะต้องการลดความเสี่ยงในเรื่องรายได้ที่จะอิงเพียงน้ำตาลเป็นหลัก เนื่องจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกค่อนข้างผันผวน และราคาไม่สูงเหมือนที่ผ่านมาแล้ว การกระจายรายได้ไปยังธุรกิจอื่นจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องรายได้อิงเพียงทางใดทางหนึ่ง” นายประพันธ์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น