นักวิเคราะห์ระบุหุ้นไทยร่วงหนักกว่า 35 จุด ทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ต้องติดตามแนวโน้มของตลาดหุ้นจีนที่จะกลับมาเปิดซื้อขายในวันพรุ่งนี้ ผู้จัดการ ตลท. ชี้หุ้นไทยร่วงแรงเกิดจากปัจจัยต่างประเทศ ระบุจีนระงับการเทรดหลังใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ เนื่องจากดัชนีร่วงกว่า 7% ทำให้นักลงทุนมองเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น และส่งผลตลาดทั่วโลก เชื่อช่วงครึ่งหลังปี 59 ผลประกอบการ บจ.ดีขึ้น
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (7 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงแรง โดยเฉพาะในช่วงท้ายตลาดจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นหลังจากตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดปรับตัวลดลง และดาวโจนส์ ฟิวเจอร์ปรับตัวลงราว 400 จุด โดยเป็นผลมาจากความกังวลการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในจีน และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง โดยการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันนั้นจะเป็นปัจจัยที่ถ่วงดัชนีตลาดหุ้นไทยอย่างมาก
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ได้ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งปัจจัยที่มากระทบตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นปัจจัยจากเศรษฐกิจจีน และราคาน้ำมันเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (8 ม.ค.) คาดว่าหากปัจจัยจากจีน และปัจจัยราคาน้ำมันยังคงกดดันอยู่นั้นจะส่งผลให้มีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก แต่หากตลาดเกิด Technical Rebound ก็จะมี Upside ในกรอบจำกัดเท่านั้น ทั้งนี้ จะต้องติดตามแนวโน้มของตลาดหุ้นจีนที่จะกลับมาเปิดซื้อขายในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่วันนี้ถูกระงับการซื้อขายหลังใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ เนื่องจากดัชนีร่วงกว่า 7%
ขณะที่ตั้งแต่ตลาดหุ้นจีนเปิดทำการมา 4 วันในปีนี้ ตลาดได้ปรับตัวลงแรง และมีการหยุดพักการซื้อขายไปแล้ว อีกทั้งอยากให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันปัจจัยลบมีผลอย่างมาก ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง โดยแนะนำนักลงทุนจำกัดพอร์ตการลงทุนให้มีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัดส่วน 25-30% และหากจะทยอยซื้อสะสมนั้น แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมในหุ้นกลุ่มที่ให้เงินปันผลสูงที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ได้แก่ ADVANC และ AP
ด้าน นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ดัชนีปรับตัวลดลงแรงกว่า 30 จุดในช่วงบ่ายวันนี้ โดยระบุว่า เป็นผลจากปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ระงับการซื้อขายในวันนี้ หลังใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ เนื่องจากดัชนีร่วงกว่า 7% ทำให้นักลงทุนมองเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น และส่งผลตลาดทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดได้รับปัจจัยต่างประเทศเข้ามามาก ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังดีอยู่ โดยเชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 59 ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะปรับดีขึ้นตามนโยบายการลงทุนภาครัฐเข้ามาช่วย
ทั้งนี้ หากนักลงทุนมีความพร้อมในการลงทุนระยะยาวยังสามารถทยอยเก็บหุ้นได้ แต่ในระยะสั้น แนะนำให้ระมัดระวังลงทุน และรอจังหวะการลงทุน อย่างไรก็ตาม ในส่วนมาตรการทางตลาดฯ คงไม่มีอะไรเพิ่มเติมออกมา รวมทั้งในส่วนกองทุนพยุงหุ้นก็ยังไม่มีความคิดในส่วนนี้ออกมา แต่มาตรการที่จะทำได้ คือ ความร่วมมือกับทางกองทุน โบรกเกอร์ ในการเปิดสัมมนาให้ข้อมูลนักลงทุน