xs
xsm
sm
md
lg

คาดหุ้นครึ่งแรกปี 59 ยังผันผวนต่อเนื่อง ชี้ปัจจัยเสี่ยงเกิดจากนโยบาย ธ.กลางแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“กสิกรฯ” มองกรอบดัชนีฯ ปี 59 อยู่ที่ 1,500-1,550 จุด ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน Forward P/E ในปี 2559 ที่ระดับ 15.3-15.8 เท่า โดยครึ่งปีแรกจะมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยจะได้รับปัจจัยกดดันทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ชี้การปรับขึ้น ดบ.ของเฟดอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของ บจ. ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ตั้องจับตา คือ ความแตกต่างกันของนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางของประเทศหลัก

นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยถึงมุมมองต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งล่าสุด ที่ประชุมได้มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 0.25%-0.50% จากเดิมที่ระดับ 0%-0.25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ และนับว่าเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีต่อเนื่อง และระดับอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% รวมถึง FED ยังส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่าในปี 2559 ดอกเบี้ยจะแตะที่ระดับ 1.375%

สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก มองว่าในระยะสั้นไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากตลาดได้ปรับตัวไปตามการคาดการณ์ส่วนใหญ่แล้ว แต่สถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวตอบรับในเชิงบวกหลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ โดยข้อมูลของเช้าวันที่ 17 ธ.ค. 58 หุ้นสหรัฐ S&P 500 ปรับตัวขึ้น 1.45% และหุ้นเอเชียโดยรวมเปิดตลาดช่วงเช้าปรับขึ้น 2%

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดก่อนการประกาศผลการปรับดอกเบี้ย โดย STOXX Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.24% ด้านตลาดตราสารหนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะ 1 ปีขึ้นไป ปรับเพิ่มเล็กน้อยจากวันก่อนหน้า โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 2 ปี ปรับขึ้น 4 bps มาอยู่ที่ 1.02% ส่วนระยะ 10 ปี ปรับขึ้น 2 bps มาอยู่ที่ 2.30% ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์ ด้านราคาทองคำปรับตัวลดลง 0.50% เนื่องมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเป็นตัวกดดันราคาลงมา ขณะที่ราคาน้ำมันปรับลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณที่มีล้นตลาด

ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัดเช่นกัน เนื่องจากตลาดได้รับรู้ และมีการคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และได้สะท้อนให้เห็นจากการปรับตัวของตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยไปพอสมควรแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะต้องติดตามต่ออย่างใกล้ชิด คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในปีหน้า ซึ่งยังเป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง แต่ก็คาดว่าจะเป็นการปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่น่าส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก

สำหรับมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยจะได้รับปัจจัยกดดันทั้งภายใน และภายนอกประเทศ เช่น ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจของจีน และยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ซึ่งประเด็นสำคัญที่จะต้องจับตามอง คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ เช่น จีน และสหรัฐอเมริกา ที่จะทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยภายในประเทศ คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะสามารถฟื้นตัวในดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2559

โดยปัจจัยหนุนยังคงมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหากดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตัวเลข GDP ของไทยในปี 2559 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.5%-3.5%

บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 ที่ระดับ 1,500-1,550 จุด ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน Forward P/E ในปี 2559 ที่ระดับ15.3-15.8 เท่า โดยกลยุทธ์ หรือธีมการลงทุนในปี 59 จะให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงโครงการประมูลงานขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ได้แก่ หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง และขนส่ง

นอกจากนี้ ยังมองหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมว่า มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีแนวโน้มปรับตัวได้ดีขึ้น เห็นได้จากตัวเลขภาคการท่องเที่ยวในไตรมาส 3/58 ที่ออกมาดีขึ้น รวมถึงยังสนใจหุ้นในกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีแม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เช่น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หุ้นอุปโภคบริโภค ค้าปลีก เป็นต้น

ด้านมุมมองการลงทุนในต่างประเทศในระยะสั้น ความผันผวนในตลาดคาดว่าจะลดน้อยลง เนื่องจากความกังวลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ลดน้อยลง ผู้ลงทุนจึงอาจเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนได้ และยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความแตกต่างกันของนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกัน ซึ่งทาง บลจ.กสิกรไทย จะให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และยุโรป ด้วยมองว่าระดับราคายังมีความน่าสนใจ

นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะต้องติดตาม คือ ราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำ และยังไม่มีทิศทางฟื้นตัว จะเป็นปัจจัยที่ยังคงกดดันตลาดการเงินโลก ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้มีความน่าสนใจน้อยลง
กำลังโหลดความคิดเห็น