xs
xsm
sm
md
lg

“GBS” แนะจับตาปัญหาตะวันออกกลาง กดหุ้นไทยร่วง ชี้ SET แกว่งตัวลงแตะ 1,350-1,380 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก หรือ GBS
“โกลเบล็ก” มองตลาดหุ้นไทย แม้มีปัจจัยหนุนจากการเสนอตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน “Thailand Future Fund” พร้อมกับฤดูกาลการซื้อกองทุน LTF-RMF ที่เริ่มมีสัญญาณการเข้าซื้อที่เร็วขึ้น แต่สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงตัวเลขส่งออกของไทยยังคงหดตัวลงต่อเนื่องที่เป็นปัจจัยกดดันดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในขาลงอาจหลุด 1,350-1,380 จุด

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากภาครัฐจากการที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน “Thailand Future Fund” วงเงิน 1 แสนล้านบาท เข้า ครม.ภายใน 2 สัปดาห์นี้ หลังพร้อมกันนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากฤดูกาลการซื้อกองทุน LTF-RMF เพื่อลดหย่อนภาษีที่ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย บวกกับค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องหนุนภาคการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากต่างประเทศในการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมพร้อมจะเพิ่มวงเงิน QE เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนโดยจะตัดสินใจในการประชุมต้นเดือนธันวาคมนี้

ส่วนปัจจัยที่มองว่าจะกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ คือ ตัวเลขการส่งออกในเดือนตุลาคม 2558 ลดลง 8.11% ขณะที่ช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม 2558) การส่งออกลดลง 5.32% ทำให้แนวโน้มการส่งออกทั้งปียังอยู่ในช่วงติดลบ ประกอบกับแรงขายหุ้นในกลุ่มสื่อสารซึ่งมีมาร์เกตแคปสูงกดดันดัชนีตลาดอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากต่างประเทศคือ FED ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 15-16 ธันวาคมนี้ และอีกทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากเครื่องบินของรัสเซียถูกตุรกียิงตกใกล้ชายแดนซีเรีย

ด้าน นายชัยยศ จิวางกูรผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวก-ลบที่คละเคล้า ได้แก่ ความกังวลตุรกียิงเครื่องบินของรัสเซียตกใกล้ซีเรีย รวมถึงตัวเลขส่งออกของไทยยังคงหดตัวลงต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดัน อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ ECB จะเพิ่มหรือขยายระยะเวลาการใช้ QE ออกไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซน รวมถึงเม็ดเงิน LTF-RMF ช่วงปลายปีจะเป็นแรงหนุนต่อภาวะการลงทุน ดังนั้น ประเมินว่า SET ในสัปดาห์หน้าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,350-1,380 จุด

“ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุน Selective Buy กลุ่มรับเหมาที่จะงานประมูลโครงการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเร็วๆ นี้จะเปิดประมูลก่อสร้างรถไฟทางคู่ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น มูลค่า 23,000 ล้านบาท เคาะราคา 8 ธันวาคมนี้ กลุ่มการท่องเที่ยว ซึ่งได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน แนะนำ AOT CENTEL MINT จากจำนวนผู้โดยสาร และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปีส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก แนะนำ CPN ROBINS และหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบใหม่ ได้แก่ MTLSS GPSC และ SET100 ได้แก่ EPG VNG PLANBWORK”

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวเสริมว่า ราคาทองคำยังแกว่งตัวอยู่ในแนวโน้มลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มปรับลงในกรอบแคบขึ้น พร้อมกับเริ่มมีการฟื้นตัวเกิดขึ้นบ้าง โดยปัจจัยกดดันหลักยังมาจากกระแสการคาดการณ์ว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ โดยเจ้าหน้าที่ FED หลายรายได้ออกมาให้ความเห็นสอดคล้องในทิศทางเดียวกันว่า FED ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วง 15-16 ธันวาคมนี้ โดยคาดว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถรองรับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกที่กำลังพิจารณามาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED จะสร้างแรงหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อทองคำ

อย่างไรก็ตาม ความกังวลจากข่าวเครื่องบินรบของรัสเซียที่ถูกตุรกียิงตกในบริเวณชายแดนซีเรีย โดยตุรกีเผยว่า เครื่องบินที่ถูกยิงตกนั้นเป็นเครื่องบินรัสเซียที่รุกล้ำน่านฟ้าของตุรกี ขณะที่รัสเซียยืนยันว่าไม่ได้รุกล้ำน่านฟ้าตุรกีแต่อย่างใด จากสถานการณ์ที่ขัดแย้งจะสร้างความตึงเครียดในตะวันออกกลางมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในทองคำเพื่อลดความเสี่ยง

ดังนั้น ประเมินแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิคราคาทองเริ่มฟื้นตัวขึ้นมายืนเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วันได้อีกครั้ง จากแรงหนุนแนวรับ DOUBLE BOTTOM ระยะสั้น บวกค่าสัญญาณ RSI ที่ฟื้นตัวขึ้นมาจากภาวะขายมาก ทำให้ราคาแนวโน้มปรับขึ้นต่อ แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นเท่านั้นเนื่องจากแนวโน้มแกว่งตัวหลักที่ยังเป็นแนวโน้มลงจะยังคงกดดันการปรับตัวขึ้นของราคา โดยให้แนวรับ 1,055-1,050 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,105-1,110 เหรียญต่อทรอยออนซ์
กำลังโหลดความคิดเห็น