บล.โกลเบล็ก ชี้เม็ดเงินกองทุน LTF-RMF ปลายปีหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย แนะจับตาสัปดาห์หน้า FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย คาด Fond Flow นักลงทุนต่างชาติไหล ให้แนวรับ 1,360-1,370 ดัชนีอ่อนตัวเป็นจังหวะเข้าซื้อ รัฐบาลกางแผนพัฒนาเศรษฐกิจผลักดันปี 2559 ปีแห่งการลงทุน ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เผยราคาทองคำมีแนวโน้มปรับลง ให้แนวรับ 1,045-1,040 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,090-1095 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากภาครัฐบาล จากการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจชี้ว่า จะผลักดันให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปีจะผลักดันให้พร้อมประกวดราคารถไฟฟ้าทุกสาย และเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดย่อม รอโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกันนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากเม็ดเงินจากการซื้อกองทุน LTF-RMF ที่ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย บวกกับค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง หนุนภาคการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากต่างประเทศในการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมพร้อมจะเพิ่มวงเงิน QE เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน
ส่วนปัจจัยที่มองว่าจะกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ คือ เหตุการณ์ก่อการร้ายของกลุ่ม IS ในปารีส ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ทำให้ทั่วโลกกังวลต่อเหตุร้ายทั่วโลก ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงปรับลงเนื่องจากภาวะอุปทานล้นตลาด หลังจากมีการคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ทำให้เป็นปัจจัยลบกดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน
ด้าน นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1,360-1,370 จุด เนื่องจากกระแส Fund Flow นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงไหลออกจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า รวมถึงกลุ่มพลังงานถูกแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงมาที่บริเวณ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม มองว่าการอ่อนตัวลงของดัชนีเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ เนื่องจากรัฐบาลเร่งออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับเม็ดเงิน LTF-RMF ในช่วงปลายปีที่จะเข้ามาช่วยพยุงดัชนี
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรมองกลยุทธ์การลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงกลุ่มการท่องเที่ยว ซึ่งได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน แนะนำ AOT, CENTEL และ MINT กลุ่มส่งออกอาหารและอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงล่าสุดแตะ 35.93/95 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณดัชนี SET50 ได้แก่ TASCO, SUPER, STEC, MTLS, S, GPSC ดัชนี SET100 ได้แก่ TASCO, SUPER, MTLS, GPSC, PTG, EPG, CHG, VNG, PLANB, IFEC, GL, WORK, SAMTEL, SCN
ขณะเดียวกัน นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในแนวโน้มลงต่อเนื่อง แม้มีแรงซื้อเข้ามาบ้างเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งรุนแรงในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่ราคาก็ปรับขึ้นในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ก่อนปรับลงทันทีเนื่องจากนักลงทุนคาดว่าเหตุการณ์ก่อการร้ายในกรุงปารีสจะไม่ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะที่ราคาทองยังคงได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงการประชุมนโยบายการเงินในช่วงวันที่ 15 ถึง 16 ธันวาคมนี้ หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายรายออกมาแสดงความเห็นสอดคล้องกัน โดยการสนับสนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย บวกกับกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนตุลาคมปรับตัวขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 2 เดือน ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์มากขึ้นว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ล่าสุด ซึ่งจัดทำโดย CME Group's Fedwatch ระบุว่า โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนั้นมีสูงถึง 68% โดย FED ได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับใกล้ 0% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 จากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ
ทั้งนี้ ประเมินแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิค ราคาทองปรับลงมาแกว่งตัวอยู่ใต้แรงกดดันแนวต้านขาลงเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน ทำให้ราคากลับมาเคลื่อนไหวตามแนวโน้มขาลงก่อนหน้า ขณะที่การสร้างจุดต่ำใหม่ด้วยการสร้างแนวเรียงตัวขาลงของแท่งเทียนที่เป็นสัญญาณลบ บวกค่าสัญญาณทางเทคนิคที่เป็นลบ ทำให้ราคาแนวโน้มปรับลงต่อ โดยให้แนวรับ 1,045-1,040 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,090-1,095 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์