โบรกฯ เผยหุ้นไทยปิดร่วง 9 จุด คล้ายกับตลาดในภูมิภาค ซึ่งปรับตัวลงตามตลาดยุโรปที่ปรับลงไปมาก เพราะกังวลภัยก่อการร้าย และเศรษฐกิจยังไม่แข็งแกร่ง คาดช่วงนี้ยังมีโอกาสผันผวน เพราะเข้าใกล้การประชุมเอฟโอเอ็มซีของสหรัฐฯ และเฟดก็มีโอกาสสูงจะปรับขึ้น ดบ. ในเดือน ธ.ค. ซึ่งทุกครั้งก็จะทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 พ.ย.) ปรับตัวลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงตามตลาดในยุโรปที่เทรดในช่วงบ่ายนี้ติดลบไปมาก เนื่องจากยุโรปก็มีภัยก่อการ้าย และเศรษฐกิจก็ยังไม่แข็งแกร่งมาก จนประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาระบุว่า อาจจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ถ้าจำเป็น ซึ่งทางยุโรปก็มีเป้าหมายเงินเฟ้อในระยะยาวที่ 2% แต่ปัจจุบันเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.1% ซึ่งยังห่างไกลจากเป้าหมายอยู่มาก
ช่วงนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะผันผวนได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เพราะโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้ ก็มีสูง และทุกครั้งที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าค่า และเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะ Emerging Market และตลาดในเอเชียที่จะกังวลต่อทิศทางราคาน้ำมัน และทองคำ
นอกจากนี้ เศรษฐกิจของจีนก็ยังอ่อนแอ แม้แต่ญี่ปุ่นเศรษฐกิจก็ถดถอยในทางเทคนิค ดูจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2-3 ของญี่ปุ่นติดลบถึงสองไตรมาส แต่ตลาดฯ ก็อาจจะมีปัจจัยหนุนบ้างจากทางยุโรปที่อาจจะมีการขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รวมถึงจีนก็อาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนตลาดหุ้นไทยในช่วง ธ.ค.ก็จะได้แรงหนุนจากกองทุน LTF, RMF เข้ามา
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 1,384.92 จุด ลดลง 9.30 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.67% มูลค่าการซื้อขาย 32,790.96 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.) น.ส.อาภาภรณ์ กล่าวว่า ตลาดฯ มีโอกาสอ่อนตัวลงได้ พร้อมให้ติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ, ราคาน้ำมัน และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำอย่าง สหรัฐฯ, จีน, ยุโรป และญี่ปุ่น โดยให้แนวรับ 1,375-1,370 จุด ส่วนแนวต้าน 1,390-1,400 จุด