ในรอบสัปดาห์ที่แล้วจะเห็นได้ว่า ราคาทองคำอ่อนตัวลงถึง 52.83 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นการดิ่งลงราว 4.6% ภายในสัปดาห์เดียวซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2013 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นกระแสการคาดการณ์ว่า เฟดจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้นั่นเอง วันนี้ทาง YLG ได้ทำการไล่เรียงเหตุการณ์ภายในสัปดาห์ที่แล้วมาให้นักลงทุนได้ทบทวนกันอีกครั้ง
ตลอดสัปดาห์ที่แล้วมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น เริ่มจากต้นสัปดาห์มีการเปิดเผยว่า ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวสูงที่สุดในรอบ 6 เดือน ทำให้ราคาทองคำร่วงลงถึง 8.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป็นการจุดกระแสการคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ กระแสดังกล่าวได้ถูกตอกย้ำอีกครั้งด้วยถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดเมื่อวันที่ 4 พ.ย.58 ที่ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลงราว 10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในวันเดียว
และเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลให้ทองคำดิ่งลงต่อเนื่องในท้ายสัปดาห์ คือ การประกาศตัวเลขในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่พุ่งขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.ของปีที่แล้ว และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 183,000 ตำแหน่งในเดือน ต.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 5.0% ตามคาด ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008 ตัวเลขในตลาดแรงงานที่ดีขึ้นอย่างมากทำให้นักลงทุนต่างมองว่า ตลาดแรงงานยังคงเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และบ่งชี้ถึงโอกาสที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์บวก 1.3% สู่ 99.167 หลังแตะระดับ 99.345 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือน เม.ย. และราคาทองคำดิ่งลง 15.29 ดอลลาร์ หรือ 1.39 % สู่1,088.26 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายวันศุกร์ หลังจากร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดรอบ 3 เดือนที่1,084.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระหว่างวัน ซึ่งถือว่าการที่ราคาทองคำดิ่งลงราว 4.6 % ภายในสัปดาห์เดียว และเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.2013 นอกจากนี้ ราคาทองคำยังกลับมาเคลื่อนไหวใกล้จุดต่ำสุดรอบ 5 ปีครึ่งที่ 1,077 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่ทำไว้ในวันที่ 24 ก.ค.อีกด้วย
จะเห็นได้ว่ากระแสในประเด็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยที่คอยกดดันราคาทองคำต่อเนื่อง ดังนั้น ในระยะนี้นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตามเพราะสามารถส่งผลกระทบต่อราคาทองคำระยะสั้นๆ ได้ พร้อมกับพิจารณาการแกว่งตัวของค่าเงินบาทประกอบการลงทุนเพื่อให้ท่านสามารถทำกำไรจากความผันผวนของราคาทองคำได้