เจเอเอส ซื้อขายวันแรกเหนือจองปิดที่ 3.88 บาท จากราคา IPO ที่ 2.77 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 40.07% ผู้บริหารปลื้มนักลงทุนเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโตของบริษัท เตรียมนำเงินทุนไปใช้ขยายงานตามแผนขยายร้านไอทีให้ได้ 100 สาขา ภายใน 3 ปี
วานนี้ (9 พ.ย.) หุ้นของบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เข้าซื้อขายเป็นวันแรก โดยเมื่อเปิดตลาด พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 4.98 บาท จากราคาจองซื้อ IPO ที่ 2.77 บาท ระหว่างวันราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 5.15 บาท ต่ำสุดที่ 3.88 บาท และมาปิดที่ 3.88 บาท เพิ่มขึ้น 1.11 บาท คิดเป็น 40.07% มูลค่าซื้อขาย 1,625.95 ล้านบาท
นางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน ประธานเจ้าหน้าบริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J กล่าวว่า บริษัทฯ มีความยินดีหลังเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ราคาหุ้นปรับขึ้นไปอยู่ที่ 4.98 บาท จากราคา IPO ที่ 2.77 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโตของบริษัท อีกทั้งการที่บริษัทนั้นเป็นหนึ่งในเครือของ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ที่มีส่วนแบ่งการตลาดด้านค้าปลีกสินค้าไอที ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจ
“รู้สึกดีใจอย่างมากที่เมื่อเปิดตลาดการซื้อขายมาทำให้ราคาหุ้นของ J ปรับตัวขึ้นเกิน 50% แสดงถึงความมั่นใจของนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยบริษัทมีแผนกลยุทธธุรกิจในอนาคต ที่จะนำเงินระดมทุนที่ได้ไปใช้ในการขยายธุรกิจใน 3 รูปแบบ โดยตั้งเป้าจะมีสาขาร้านค้าปลีกอุปกรณ์ไอทีให้ได้ 100 สาขา ภายในปี 2562 ซึ่งบริษัท มองว่า ตลาดสินค้าไอทีในปัจจุบันมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีความต้องการใช้สินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแผนการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุน ซึ่งประมาณการสัดส่วนการใช้เงินระดมทุน 70% บริษัทฯ จะนำไปขยายธุรกิจ โดยจะขยายธุรกิจในส่วนของร้าน IT Junction จำนวนเฉลี่ย 8 สาขาต่อปี และขยายศูนย์ให้บริการจำหน่ายสินค้าไอทีในชื่อ J Market ประมาณ 1-2 สาขาต่อปี นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนในส่วนของคอมมูนิตีมอลล์ในชื่อ The Jas อย่างน้อย 1 สาขาต่อปี อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีบริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจแบรนด์ต่างๆ รวมทั้งสิ้น 49 สาขา และตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 100 สาขา ภายในปี 2562 ส่วนเงินที่เหลืออีก 30% จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงิน ซึ่งจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทฯ จะลดลงเหลือประมาณ 1 เท่า จากครึ่งปีแรกของปี 2558 ที่มี D/E อยู่ที่ 1.73 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนศึกษาการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีอยู่ โดยคาดว่าจะสามารถสรุปความชัดเจนของแผนการที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจดังกล่าวได้ภายในปี 59