ต้องยอมรับครับว่าหลังปี 2551 คนไทยสนใจตลาดหุ้นกันมากขึ้นโดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ จากสมัยก่อนเราจะมีแต่นักลงทุนรุ่นอาจูม่า เอ้ย!! คนมีอายุกันเป็นส่วนมากทำให้กิจกรรมเกี่ยวกับตลาดหุ้นก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดไปด้วย
หนึ่งในปัจจัยชี้วัดว่าตลาดหุ้นกำลังอยู่ในภาวะ “กระทิง” เข้าสิงหรือไม่ให้ดูได้จากงานสัมมนาหุ้น ถ้าช่วงที่ตลาดหุ้นซึมๆ คนจะให้ความสนใจน้อย เผลอๆ มีที่นั่งเหลือ แต่ถ้าตลาดหุ้นคึกคักสุดๆ ต่อให้งานเล็กงานน้อยคนก็เต็มบางงานอาจถึงขั้นขี่คอกันเข้าไปฟังก็มีแม้ต้องจ่ายเงินเข้าไปฟังก็ยอม
นายเก่าของผมที่มีประสบการณ์จัดอีเวนต์มานานยังเคยบอกเลยว่า กลุ่มคนที่พร้อมจะเสียเงินเข้าฟังสัมมนามากที่สุดก็คือคนเล่นหุ้นนี่แหละยิ่งโดยเฉพาะงานที่มีการ “บอกหุ้น” โดยนักวิเคราะห์ชื่อดังจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ คือไม่จำเป็นต้องอธิบายภาวะเศรษฐกิจ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อะไรหรอก บอกมาเลยดีกว่าให้ซื้อหุ้นอะไรไฮไลต์สำคัญมันอยู่ตรงนี้แหละ
อย่างที่บอกครับว่าตอนนี้เรามีนักลงทุนหน้าใหม่มากขึ้น เซียนหุ้นก็มีมากขึ้นด้วย ทั้งรุ่นเก๋า และรุ่นใหม่ หลายคนเข้าข่ายเป็น “เซเลบ” กลายๆ ชนิดที่ว่าขึ้นเวทีไหนจะต้องมีคนติดตามไปด้วยเสมอ ตามไปฟังว่าพวกเขาจะบอกว่ากำลังเล่นหุ้นตัวไหนอยู่นี่แหละครับ
ทฤษฎีการตลาดยุคใหม่ยังบอกเลยครับว่า คนเราเลือกที่จะเสพสื่อ และรับสารในการตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการจากบุคคลที่ 3 มากขึ้น ง่ายๆ คือ เป็นกลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้องต่อสินค้าโดยตรง อย่างเช่นพวกบล็อกเกอร์ต่างๆ ที่มารีวิวโน่นรีวิวนี่ คนเราให้ความเชื่อถือมากกว่าเจ้าของสินค้ามาบอกโดยตรงเสียอีก หุ้นก็เช่นกัน สมัยนี้นักลงทุนมักเชื่อนักลงทุนกันเองมากขึ้น เพราะบางทีโบรกเกอร์ก็อาจจะเชียร์หุ้นด้วยวัตถุประสงค์แฝง เช่น อยากให้เทรดบ่อยๆ เยอะๆ จะได้ค่าคอมมิชชัน หรือบางครั้งก็มีเอี่ยวด้วย เช่น เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้ (แต่กรณีนี้นักวิเคราะห์ต้องบอกให้รู้ครับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่นะ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)
นักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงในตลาด จงเป็นที่สนใจของนักลงทุนรายย่อยเสมอว่าพวกเขากำลัง “เล่นหุ้น” อะไรอยู่ ก็เข้าไปเล่นตามเสียเลยสิ เข้าทำนองเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด แต่ด้วยกฎของ ก.ล.ต ระบุชัดเจนครับว่าใครที่ไม่มีใบอนุญาตนักวิเคราะห์ห้ามให้คำแนะนำซื้อขายหุ้นนะครับ
จำไว้ง่ายๆ สามข้อ หนึ่ง..บอกชื่อหุ้น สอง..บอกว่าให้ซื้อหรือขาย สาม..บอกราคาเป้าหมาย เราต้องฟังหูไว้หูนะครับ
หลังงานเสวนาหุ้นบนเวทีจึงมักเป็นเวที “ล้อมวงซักหุ้น” ว่าตัวไหนกำลังจะมา (เพราะในวงพูดไม่ได้นั่นเอง) ตอนนี้ถือหุ้นอะไรอยู่ จึงอย่าแปลกใจครับว่าหลังงานเสวนาหุ้นอาจจะมีหุ้นบางตัววิ่งทะลุขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัวเคยถึงขั้นชนซิลลิ่งไปเลยก็มี นี่แหละคือปรากฏการณ์ “หุ้นเซียนบอก” แบบนี้แล้วรายย่อยที่ไปซักถามหุ้นไม่ได้อะไรเลยครับแต่กลับไปดันราคาหุ้นให้เขาเสียนิหลายคนตั้งหน้าตั้งตาที่จะไปฟังหุ้นเซียนบอกตามงานสัมนานี่แหละ ง่ายดี ผมเชื่อว่าเซียนหลายคนไม่ได้มีเจตนาอะไรไม่ดีในการบอกหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการบอกหุ้นแบบนี้คงมีผู้ที่ได้ประโยชน์ยิ่งสมัยนี้มีงานสัมมนาประเภทเก็บเงินเกิดขึ้นบ่อยขึ้น และก็จะมีเสียงบอกต่อกันว่าไปงานนี้รับรองได้หุ้นกลับบ้านแน่นอน
อย่าลืมครับว่าเราไม่ใช่ไม้แรกๆ ที่เข้าไปรับหุ้นแน่นอนแต่อาจจะเป็นไม้ท้ายๆ แล้วก็ได้ทางที่ดีเราควรจะสแกนหาหุ้นด้วยตัวเองไม่ว่าจะปัจจัยพื้นฐาน กราฟเทคนิค ฯลฯ ดีกว่าไปนั่งรอฟังหุ้นเซียนบอกที่เราเองก็ไม่ใช่ผู้ได้เปรียบใช่ไหมครับ
นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง