หลายปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไอพีโอมาแรงจริงๆ ทั้งฝั่งคนขาย หรือเจ้าของบริษัทสนใจเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น ด้านฝั่งผู้ซื้อ หรือนักลงทุนก็ให้ความสนใจในการจองหุ้นไอพีโอ (แม้ว่าหุ้นส่วนใหญ่จะถูกขายให้รายใหญ่มากกว่า) แม้ปีนี้ตลาดไอพีโอจะซึมๆ ลงไปพอสมควร แต่เท่าที่คุยกับโบรกเกอร์ และที่ปรึกษาทางการเงินส่วนใหญ่ก็ยังมีงานในมือค้างค่อนข้างมาก
ที่น่าสนใจคือ บริษัทที่มีชื่อเสียง หรือแบรนด์ดังๆ ที่เรารู้จักกันหลายแห่งสนใจเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น จากเดิมที่ไม่เคยชายตามองเลย อย่างเอ็มเคสุกี้ (M) ห้างแพลทินั่ม (PLAT) เร็วๆ นี้ก็จะมีเถ้าแก่น้อย หรือแม้แต่ทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และร้านขนมอย่างอาฟเตอร์ยูก็ยังจะเข้าตลาดหุ้น จะเรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของตลาดไอพีโอเลยก็ว่าได้ เท่าที่สำรวจดูจะมีแค่กลุ่มโอสถสภาที่ยังไม่สนใจตลาดหุ้นอย่างจริงจัง นอกนั้นตระกูลดังๆ ของเมืองไทยอย่างภิรมย์ภักดี (สิงห์เอสเตท) ก็ชิมลางในตลาดหุ้นแล้ว
ที่อยากจะมาเล่าวันนี้คือ ผมมองเห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในตลาดหุ้นคือ “ความคาดหวัง” ของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นไอพีโอในปัจจุบันอยู่ในระดับสูง คือ คาดหวังว่าจะต้องเห็นราคาหุ้นขึ้นเป็นหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันไอพีโออย่างแน่นอน และกะจะขายทำกำไรในวันแรกเสียเลย แน่นอนว่าหุ้นไอพีโอส่วนใหญ่ที่เปิดตัวในสองสามปีหลังจะสร้างผลตอบแทนได้ในระดับดังกล่าวเกือบทุกตัว แต่บางตัวก็น่าผิดหวัง บางตัวทำนักลงทุน “แทบหมดตัว” ไปเลยทีเดียว
จุดประสงค์ของการนำหุ้นเข้าตลาดฯ ในมุมของผู้ขายมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเพราะต้องการเงินทุนไปขยายกิจการ ต้องการ Spin Off ออกจากธุรกิจเดิมเข้าเพราะจำเป็นต้องเข้า (กรณีของสิงห์เอสเตทที่ต้องการนำที่ดินที่มีอยู่มาพัฒนา) หรือแม้กระทั่งเข้าตลาดหุ้นเพราะต้องการแบ่งสมบัติของตระกูล แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามผู้ขายจะต้องมี “จุดขาย” ให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าหุ้นเมื่อเข้าตลาดไปแล้วจะยังเติบโต ไม่ใช่เข้าไปแล้วเหมือนกับดาวตกในทันที
หลายกิจการที่เข้าตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ของกิจการ อาจจะไม่ใช่ช่วงที่เติบโตที่สุดเพราะช่วงที่โตที่สุดส่วนใหญ่จะยังไม่เข้าตลาดหุ้น พอโตมากๆ แล้วถึงจะมั่นใจในการเข้าตลาด (แต่ก็มีบางบริษัทอย่าง WHA ที่เข้าตลาดมาแล้วกิจการโตมากกว่าตอนที่ยังไม่เข้า) แต่ก็มีเช่นกันที่กิจการซึ่งผ่านช่วงที่ดีที่สุดของธุรกิจไปแล้วถ้าเป็นนักฟุตบอลก็คือ ผ่านฟอร์มอันสุดยอดไปแล้วแต่ก็เลือกที่จะเข้าตลาดหุ้นอาจจะเข้าตลาดหุ้นเพราะเห็นคนอื่นเข้าแล้วราคาหุ้นขึ้นกัน หรืออาจจะต้องการเงินทุนไปขยายกิจการใหม่ กระทั่งนำไปซื้อกิจการด้วยการเทกโอเวอร์ที่เลวร้ายที่สุดคือ เข้าตลาดหุ้นเพราะต้องการใช้หนี้ หรือเพื่อล้างขาดทุนสะสมแบบนี้มีความเสี่ยงสูง
บางกิจการอาจจะมีแบรนด์ที่คนรู้จักทำให้มั่นใจว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีแน่นอน แต่ลำพังการวิเคราะห์เพียงแค่เป็นธุรกิจที่รู้จักอย่างเดียวอาจจะไม่พอ นักลงทุนที่สนใจในพื้นฐานกิจการต้องมองให้ออกว่าบริษัทที่กำลังเข้าตลาดหุ้นธุรกิจของเขากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือขาลงถ้าหากกิจการไม่มีโอกาสจะเติบโตมากกว่านี้แล้วต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนอย่างมาก
อย่าลืมครับว่าเงินของเราๆ ต้องปกป้อง อย่านำอนาคตไปฝากกับกิจการที่กำลังเป็นอดีต
นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง